เดินกับหมา ตอนที่ 02
- คุณแหนด
- Nov 10, 2024
- 1 min read
Updated: 4 days ago
หลังจากใช้เวลาเดินอยู่กับน้องหมาที่ภูเก็ต 2 อาทิตย์ ฉันใช้ตีนคิดอะไรได้หลายอย่างเลยค่ะ (อ้อ ลืมบอกไปว่าการที่เรามาเดินจูงหมานี้ ก็เพื่อฝึกน้องๆ ให้ปรับตัวคุ้นชินกับการใช้ชีวิตกับมนุษย์และสายจูง เพื่อที่เวลาน้องได้บ้านใหม่ น้องจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าของใหม่ได้อย่างราบรื่นค่ะ)
อย่างแรก ฉันคิดได้ว่าคนใจดีก็ยังมีอยู่บนโลกนี้มากอยู่ เพราะฉันได้เจออาสาสมัครคนอื่นๆ รวมๆ แล้วก็เกิน 30 คน ภายในเวลาแค่สั้นๆ บางคนมาวันสองวัน บางคนก็มาอยู่ยาวเหมือนฉัน หรือยาวกว่าฉันก็มี และสิ่งที่ทุกคนมีมากแน่นอนคือความเมตตา เพราะการมาเดินจูงหมานี้เราต้องยอมรับ พยายามเข้าใจ และอดทนกับสิ่งที่น้องเป็น แน่นอนถ้าน้องเลือกได้น้องคงไม่อยากมีประวัติถูกกระทำจนกลายเป็นหมามีปัญหา แต่เมื่อโดนกระทำไปแล้วก็ย่อมมีบาดแผลหลงเหลือไว้ ซึ่งก็ต้องอาศัยความใจดีของมนุษย์เจ้าหน้าที่มูลนิธิและอาสาสมัครนี่แหละ ค่อยๆ ช่วยเยียวยาน้องให้กลับมาหายกลัวและใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง
อย่างที่สอง ฉันคิดได้ว่า ความรักสามารถรักษาบาดแผลลึกในใจทุกชนิดได้ น้องหมาทุกตัวสามารถหายจากอาการหวาดระแวงได้ถ้าได้รับความอบอุ่นอย่างเพียงพอ ข้อนี้พูดแล้วก็ซึ้ง เพราะตัวฉันเองก็เป็นโรคซึมเศร้าและมีทรอมาชีวิตอยู่จำนวนนึง ไม่ค่อยจะต่างจากน้องหมาเท่าไหร่ พอเราเห็นน้องหมาที่ขี้ระแวงค่อยๆ เปิดใจ จากที่กลัวไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเรา กลายเป็นพอเจอกันบ่อยๆ เริ่มเดินเข้าหาเราด้วยตัวเอง มันก็เหมือนภาพเปรียบเทียบกับตัวฉันเอง ทำให้มีความหวังว่าวันนึงเราจะเดินกระดิกหางร่าเริงได้อย่างน้องหมาเช่นกัน
เดี๋ยวอย่างที่เหลือค่อยมาต่อ เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาที่ฉันต้องกลับกรุงเทพแล้วค่ะ
สรุปแล้วการมาอยู่ภูเก็ตครั้งนี้ฉันไม่ได้วิ่งออกกำลังกายเลยแม้แต่ก้าวเดียว มีแต่วิ่งตามน้องหมาเท่านั้น ครั้งสุดท้ายที่ฉันขับรถออกจากมูลนิธิ ฉันร้องไห้เป็นเด็กโดนแย่งของเล่นเลย ยังไม่ทันจะพ้นประตูฉันก็คิดถึงน้องหมา คิดถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ และคิดถึงวิถีชีวิตแบบใหม่ที่ฉันได้มาลองใช้อยู่ในช่วงสั้นๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ากลับไปกรุงเทพจะเอายังไงต่อดี ฉันนั่งตาบวมฉึ่งรอขึ้นเครื่องในเลาจ์ของบางกอก แอร์เวย์ (ใช่ค่ะ จมไม่ลง ไม่บินโลวคอสท์) หลังจากล้อเครื่องบินแตะสุวรรณภูมิ ชีวิตฉันก็กลับมาสู่วงจรอุบาทว์เหมือนเดิม ฉันกลับไปทำงานที่เดิมด้วยความรู้สึกไร้ค่าเหมือนเดิม
แต่มันก็ไม่นานหรอกค่ะ
หลังจากนั้นแค่เดือนเดียว บริษัทก็เรียกฉันไปเซ็นหนังสือเลิกจ้าง ให้เหตุผลสวยงามว่ามีการปรับโครงสร้างบริษัท แต่ทั้งฉันและทั้งพี่ CEO ที่รับหน้าที่ปลดฉันออกก็รู้กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร เราจากกันด้วยดี ฉันได้รับเงินก้อนมาจำนวนหนึ่ง ฉันต้องคืนคอมพิวเตอร์ให้ออฟฟิศเดี๋ยวนั้นและเก็บของกลับบ้านทันที (ดีที่ฉันซื้อคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเองแล้วที่ภูเก็ต) ลูกน้องในทีมพากันอ้าปากค้าง ฉันไม่ได้ร่ำลาใครเลยสักคน ฉันถูกพาตัวลงมาส่งที่ล็อบบี้ของตึกและหมดสถานะพนักงานในบัดนั้น 22 ปีในวงการโฆษณา และ 7 ปีที่เอเจนซีแห่งนี้ จบลงตรงนี้แหละ ฉันไม่เคยโดนไล่ออกจากงานมาก่อน มันเป็นความรู้สึกทั้งเสียหน้า โล่งใจ อับอาย อิสระ โดดเดี่ยว กลัว แต่ก็ดีใจที่ได้เงินก้อน...ปะปนกันไปหมดเลย
• จบแล้วค่ะ ชีวิตออฟฟิศบนตึกระฟ้า หรูหราดื่มสตาร์บั๊คส์กลางกรุงเทพ (ตอนทำงานฉันไม่ได้ใช้ตีนคิดนะคะ สาบาน!)
ว่างแล้ว...ทำอะไรล่ะ กลับไปภูเก็ตสิคะ!
สลดอยู่ไม่นาน ฉันก็ตัดสินใจกลับไปลองใช้ชีวิตกับน้องหมาที่ภูเก็ตอีกครั้งค่ะ คราวนี้อยู่ยาวไปเลย 3 อาทิตย์ ยังไม่ได้คิดว่าจะหางานอะไรทำ ใช้เงินก้อนที่ได้รับการฟาดมาไปก่อน เวลาใครถามว่าทำงานอะไร ฉันจะบอกว่าเป็นอาสาสมัครช่วยสัตว์ยากไร้ ดูโคตรสวย และฉันคิดว่าฉันน่าจะสวยจริงๆ นะช่วงนั้น (อย่าเพิ่งขำ ขอหน่อย) เพราะความที่ไม่ต้องแบกความเครียดจากงานอีกต่อไป ทำให้ฉันน่าจะดูเป็นคนน่าเข้าหามากขึ้นกว่าเดิม ดูคลายๆ เบาๆ และพูดคุยกับอาสาสมัครคนอื่นๆ ได้อย่างสบายใจ ไม่มี social anxiety เหมือนรอบแรก (รอบแรกฉันค่อนข้างเก็บตัว) สุดท้ายก่อนจบทริป 3 อาทิตย์ครั้งนี้ ฉันก็ได้เจอกับเพื่อนอาสาสมัครคนหนึ่ง ซึ่งได้กลายมาเป็นสามีในปัจจุบันค่ะ สวยจริง เห็นมั้ยล่ะ
อ่านมาถึงตรงนี้คนโสดคนไหนอยากไปลองจูงหมาบ้าง หลังไมค์มานะคะ เผื่อจะ "ทำบุญได้ผัว" เหมือนฉันค่ะ หุหุ
หลังจากแต่งงาน ฉันและสามีตัดสินใจลงหลักปักฐานกันที่ภูเก็ต ฉันบอกเลิกคอนโดใจกลางกรุงเทพที่เช่าอยู่ ยกเลิกสมาชิกฟิตเนส เก็บข้าวของใส่โกดัง เหลือเฉพาะของที่จำเป็นใส่ได้ในรถคันเดียว และมาอยู่อพาร์ทเมนท์เล็กๆ ไม่ไกลจากมูลนิธิบ้านหมา เรายังกลับไปช่วยเดินจูงหมาเป็นประจำ และที่สำคัญ สามีฉันเป็นนักวิ่งค่ะ ฉันเลยได้แรงบันดาลใจเพิ่มในการกลับมาวิ่ง On Cloud 4 ได้ออกมาเหยียบพื้นอีกครั้ง
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันคิดได้ว่า (ต่อล่ะนะ)
อย่างที่สาม ที่ฉันเคยตั้งคำถามว่า จำเป็นหรือ ที่เราต้องทำงานที่เครียดมาก เพื่อที่จะได้เงินเดือนมากๆ เอามาเป็นค่ากำจัดความเครียดที่มากไม่ต่างกัน สรุปแล้วฉันก็ได้คำตอบว่า ไม่จำเป็นค่ะ หลังจากฉันปลดตัวเองออกจากการเป็นชาวสาทรเหนือ ฉันพบว่าจริงๆ แล้วชีวิตเราไม่ได้ต้องการอะไรอู้ฟู่มากมายขนาดนั้น เราสามารถมีความสุขได้จากสิ่งที่เรียบง่าย แต่สิ่งสำคัญคือเราควรแสวงหาความมั่นคงในใจ ซึ่งมาจากการเห็นคุณค่าของตัวเองค่ะ ถ้าเราเชื่อว่า ฉันดีพอ และสิ่งที่ฉันเป็นนั้นเพียงพอ ความสุขอื่นๆ มันจะเข้ามาใกล้เรามากขึ้น แต่หากเรายังรู้สึกไร้ค่า เราก็จะแสวงหานั่นนู่นนี่มาเติมชีวิตจนรกรุงรังไปด้วยสิ่งไม่จำเป็น เหมือนที่ฉันเคยทำ
อย่างที่สี่ อีกคำถามที่ฉันเคยคิด ว่า...แล้วมึงจะหาเงินยังไงคะ? ฉันก็ได้คำตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องหาเงินให้ได้เท่าเดิม เพราะถ้าได้เท่าเดิม มันก็จะกลับไปอีหรอบเดิม คือหาเงินมาแก้เครียดตัวเอง ฉันได้งานใหม่ที่ได้เงินน้อยกว่าเดิมครึ่งนึง แต่ทำงานที่บ้านได้ ไม่เครียดเท่าเดิม มีเวลาออกกำลังกาย ดูแลใจตัวเอง ไปเที่ยวใกล้ๆ บ้าน ใช้ชีวิตเรียบง่ายธรรมดา
อย่างที่ห้า ที่เคยคิดว่าตัวเองไต่สถานะทางสังคมขึ้นมาสูงแล้ว จะลงยังไง...ก็ได้คำตอบแล้วว่า โดนถีบลงมาไงคะ การถูกไล่ออกมันเจ็บก็จริง แต่มันก็ปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระจากการพยายามแบกหัวโขนอันแสนหนัก ใช้เวลาไม่นานฉันก็ชินกับการเป็นคนบ้านๆ และพบว่าชีวิตแม่งง่ายกว่าที่คิดมากค่ะ ถ้าเราไม่พยายามสร้างภาพที่ไม่จำเป็นต้องสร้างให้กับตัวเอง
การใช้ตีนคิดจากการเดินครั้งนี้ทำให้ฉันสรุปอะไรในสมองตัวเองได้เยอะเลยค่ะ
Comments