top of page

เดินกับหมา ตอนที่ 01

  • คุณแหนด
  • Nov 10, 2024
  • 1 min read

Updated: Dec 11, 2024

(บทความนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับการวิ่งซักเท่าไหร่ แต่อ่านๆ ไปก่อนนะ เดี๋ยวอันถัดไปมันจะเกี่ยวละค่ะ)


หลังจากวนเวียนอยู่กับความคิดว่าตัวเองน่าจะเลือกทางเดินชีวิตผิด หรือตัดสินใจผิดไปช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตมาได้ประมาณ 4-5 เดือน ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบอะไรค่ะ พูดง่ายๆ คือดักดานอยู่งั้นแหละ


แต่ที่คืบหน้าขึ้นมาหน่อยคือหมอจีนอนุญาตให้เริ่มวิ่งช้าๆ ได้แล้ว และการนัดครอบแก้วแต่ละครั้งก็เริ่มห่างออกไป ฉันจึงดูเหมือนเหยื่อที่โดนปลาหมึกยักษ์ข่มขืนน้อยลง อีกอย่าง จิตแพทย์ก็อนุญาตให้ลดโดสยาลงเพื่อค่อยๆ หยุดยาได้ แต่มีคำขู่ว่า...


"ถ้าคุณหยุดยาครั้งนี้ แล้วสุดท้ายต้องกลับมากินใหม่ คุณจะต้องกินต่อเนื่องไปอีกหลายปีเลยนะ"


ประโยคนี้ทำให้ฉันฉุกคิด...ไม่ได้คิดว่าตับไตจะต้องทำงานหนัก แต่คิดว่ากูนี่แหละที่จะต้องทำงานหนักเพื่อเอาเงินมาจ่ายค่ายา ฉันเลยค่อนข้างตั้งใจในการกลับมาวิ่งมากเป็นพิเศษ ไปฟิตเนสอาทิตย์นึง 3-4 ครั้ง ครั้งนึงอาจจะแค่ 10-15 นาทีบ้างแต่อย่างน้อยก็ไปล่ะน่ะ


ในทางกลับกัน อีสิ่งที่ไม่คืบหน้าและยังถดถอยคืองานค่ะ


ฉันมีปัญหาที่ทำงานค่อนข้างหนักอยู่ หลักๆ คือทัศนคติในการทำงานของฉันไม่ตรงกับขององค์กร ทำให้สิ่งที่เราเข้าใจว่าคือการทุ่มเททำงานที่ดี มันดันไม่ใช่ "งานที่ดี" ที่บริษัทต้องการ แต่ฉันก็ยังไม่รู้จะไปไหน บริษัทเองก็ยังไม่สบช่องจะไล่ฉันออก เราก็เลยอยู่กันไปแบบผัวเมียที่เบื่อขี้หน้ากันแต่ยังนอนเตียงเดียวกันอยู่ กระแนะกระแหนกันบ้างเป็นพักๆ จิกกัดกันตามโอกาส โคตรบันเทิง...


แต่ข้อเท็จจริงคือ เมื่อเราทุ่มเททำงานให้กับอะไรสักอย่างแล้วมันไม่ได้ผลลัพธ์ที่มีประโยชน์ แถมยังสร้างโทษให้ตัวเอง มันไม่ได้บันเทิงสักนิด เราจะรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ เป็นไส้ติ่งที่รอวันโดนเชือด เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันมุ่งสู่ความฉิบหายทางสุขภาพจิตอีกครั้ง


แต่!!! นึกถึงคำพูดหมอ "คุณจะต้องกินยาไปอีกหลายปีปีปีปีปีปี" ถ้ากลับไปกินยาอีกรอบต้องทำงานจนตัวตายเลยนะมึง...ฉันเลยคิดว่ามันถึงเวลาต้องหาอะไรทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้ตัวเองรู้สึกมีประโยชน์กับโลกนี้บ้าง


ฉันเลยลาพักร้อนไปเป็นอาสาสมัครเดินจูงหมาที่ภูเก็ตค่ะ


ภาพในหัวของฉันก่อนจะไปคือ ฉันจะใส่รองเท้าวิ่ง On Cloud 4 คู่โปรดคู่ใหม่ ถือเชือกจูงน้องหมาที่น่ารักและว่าง่าย จ๊อกกิ้งไปพร้อมๆ กันท่ามกลางกลิ่นไอทะเลและลมโบกสะบัด ก็แค่จูงหมาเดินมันจะไปยากอะไรจริงไหม? เป็นการทั้งทำบุญและออกกำลังกายในคราวเดียวกัน โอ้โห แม่งคือกิจกรรมในฝันค่ะ ฉันจัดกระเป๋า ซื้อตัวเครื่องบิน จองโรงแรม เช่ารถ (ใช่สิ จมไม่ลง ไปไหนต้องมีรถขับ) สำหรับเวลา 2 อาทิตย์ ฝันหวานว่ากลับจากภูเก็ตเราจะเฮลตี้ขึ้น เพราะเราจะได้จ๊อกกิ้งทุกวัน ถามว่าตอนนั้นได้อ่านรายละเอียดในเว็บไซต์บ้านหมาที่เขาอธิบายไว้ยืดยาวมั้ย? ใครจะมีสติ สมาธิ ปัญญาล่ะคะ จองไปร้องไห้ไป ตอนนั้นคิดแค่ว่ายังไงก็ได้ขอให้กูได้ออกไปจากคอนโดตัวเอง ไปทำตัวมีประโยชน์กอบกู้โลกก่อน ไม่งั้นมันจะดิ่งลงสู่บิลค่ายาแน่ๆ


"คุณจะต้องเริ่มเดินตอน 9:00 และเดินจบภายใน 16:00 คุณจะได้พักเที่ยง 1 ชั่วโมง ระหว่างเดินคุณจะต้องคอยสังเกตุอาการน้องหมา และถ้าน้องหมาอึคุณจะต้องเก็บอึให้เรียบร้อย วันนี้วันแรก คุณจะได้เดินน้องหมาที่เดินเก่งแล้วก่อนนะคะ แต่หลังจากนี้เราจะให้คุณรับผิดชอบคอกที่ยากขึ้น หนึ่งคอกจะมีน้องหมาประมาณ 8-19 ตัว คุณต้องจัดสรรเวลาให้ดี เดินน้องให้ครบทุกตัวนะคะ"


ค่ะ นี่คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิอธิบายให้ฟังในวันแรกที่ฉันไปถึง ฝันไปเถอะค่ะจูงน้องหมาจ๊อกกิ้งสวยๆ น่ะ เริ่มเดิน 9 โมงถึง 4 โมง ร่มตอนไหน? สรุปคือฉันต้องเดินตากแดด หิ้วถุงอึ บางทีอีลมทะเลมันก็ไม่พัดเลยทั้งวัน ในขณะที่แดดก็ไม่เคยหลบหน้าฉันเลยเช่นกัน แค่สองวันแรกตัวก็ดำไปแล้ว 4 เฉด จริงอยู่ที่ถ้าโชคดีเจอน้องหมาว่าง่ายน้องก็จะเดินตามที่เรานำ และไม่สร้างทุกข์ให้เราค่ะ แต่หลังจากจบวันแรกไปแล้วฉันก็พบว่าน้องหมาที่เดินเก่งนับเป็นประชากรหมาส่วนน้อย (มาก) ในบรรดาหมาพันกว่าตัวนั้น ส่วนมากเป็นหมาที่โดนทารุณมาก่อน หรือโดนเจ้าของทิ้ง หรือป่วยหนักมาก่อน แต่ละน้องล้วนมาพร้อม traumas และความหวาดระแวงเกลียดกลัวมนุษย์ ก่อนจะเดินคุณต้องอ่านประวัติของน้องอย่างละเอียด บางตัวไม่ชอบให้จับหลัง บางตัวไม่ชอบให้จับหาง บางตัวต้องขอดมคุณก่อนเดิน บางตัวต้องเดินกับเพื่อนอีกตัวเท่านั้น และอย่าว่าแต่เดินเลย บางทีแค่จะให้ออกจากคอกยังต้องดราม่ากันยกใหญ่ พอออกมาได้น้องก็จะนั่งแหมะตัวสั่นอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้อาสาสมัครผู้อยากมีประโยชน์ต่อโลกอย่างฉันรู้สึกไร้ค่าเหมือนเดิมในโลเคชั่นใหม่ หรือบางตัวคึกคะนองสูงก็จะวิ่งถลาดึงเราให้หน้าคะมำ ต้องพุ่งตัววิ่งตาม บางทีแทบจะล้มกลิ้งใส่กองอึ ดีไม่ดีถ้าทะเล่อทะล่าเข้าผิดจังหวะน้องยังอาจจะแง่มคุณเข้าให้


ภายใน 2 วันแรก รองเท้า On Cloud 4 ของฉันได้ถูกเปลี่ยนเป็น Sketcher Go Walk ที่ฉันขับรถเข้าเมืองไปซื้อที่เซ็นทรัล ภูเก็ต และสัปดาห์สุดท้าย Sketcher ก็ได้รับการอัพเกรดเป็นช้างดาวค่ะ เพราะสรุปฉันต้องลงสระน้ำกับน้องหมาด้วย การจะได้กลับกรุงเทพในสภาพสวยแข็งแรงในทริปนี้นั้นชาตินี้คงไม่บรรลุความปรารถนา แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว จ่ายค่าโรงแรมไปหมดแล้ว ก็ต้องตั้งใจทำให้ดีค่ะ ฉันเลยพยายามทำความเข้าใจน้องหมาแต่ละตัวที่ฉันได้พาเดิน พยายามสังเกตว่าเราจะเข้าหาเขาด้วยวิธีไหน บางวันฉันจะมีบัดดี้มาช่วยกันเดินด้วย สำหรับคอกที่มีน้องหมาเยอะ ทำให้ฉันได้เจอคนใหม่ๆ ที่อย่างน้อยก็มีใจอยากจะเป็นประโยชน์ (หรือไม่ก็อาจจะรู้สึกไร้ค่าอยู่ลึกๆ เหมือนฉัน) ผ่านไป 1 อาทิตย์ฉันก็เริ่มเป็นงาน เริ่มสนิทกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิมากขึ้น บางครั้งฉันจะโคจรมาเจอน้องหมาคอกที่เคยเดินไปแล้ว ทำให้เดินง่ายขึ้น ฉันเริ่มสังเกตว่าฉันตื่นนอนตอนเช้าด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากจะออกจากโรงแรมไปที่มูลนิธิทุกวัน และกลับมาถึงโรงแรมแบบไม่ค่อยหดหู่เท่าไหร่ บางวันกลับมารู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำ และวันเสาร์ อาทิตย์ ที่มูลนิธิปิด ฉันจะรู้สึกเหงาแปลกๆ เฝ้ารอให้ถึงวันจันทร์ บางแว่บฉันยัง (ใช้ตีน) คิดเลยว่า...


เอ๊...หรือว่าเราอยากมีชีวิตแบบนี้วะ มันก็มีความสุขดีเหมือนกันนะ ถ้านี่จะเป็นชีวิตเรา มันจะได้มั้ยหว่า? แต่...มึงจะหาเงินยังไงก่อนคะ?



ก็ได้แต่เก็บความคิดนี้ไว้ลึกๆ เงียบๆ ไม่ได้บอกใคร พอถึงช่วงท้ายของสัปดาห์ที่ 2 ฉันเริ่มวิตกกังวลค่ะ เพราะมันใกล้เวลาที่จะต้องกลับไปสู่ความจริงที่กรุงเทพ...ไม่รู้อะไรดลใจเหมือนกัน หรือเทพเจ้าหมาจะมาสะกิดบอกก็ไม่รู้ได้ แต่เย็นวันหนึ่งฉันตัดสินใจขับรถเข้าไปเซ็นทรัล ภูเก็ต อีกครั้ง และไปซื้อคอมพิวเตอร์มาหนึ่งเครื่อง เป็นเครื่องรุ่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศให้ฉันใช้ ตอนนั้นฉันไม่มีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง และไม่คิดจะซื้อ คิดเอาว่าออฟฟิศมีให้ใช้ก็ใช้ไปสิ ใช้ไปได้เลยยาวๆ


แต่มันจะไม่ได้ยาวอย่างที่คิดน่ะสิคะเมิง!

Comments


ใช้ตีนคิด

think with your feet

  • strava
  • Instagram

© 2035 by Poise. Powered and secured by Wix

bottom of page