top of page

บทนำ 02: คุณยังวิ่งไม่ได้ค่ะ

  • คุณแหนด
  • Nov 10, 2024
  • 1 min read

Updated: Apr 22

หมอมองหน้าฉันแบบนิ่งๆ ในขณะที่ใช้สองนิ้วแตะชีพจรของฉัน ก่อนหน้านี้หมอเพิ่งบอกให้ฉันแลบลิ้นให้หมอดู

ใช่ค่ะ ฉันมาฝังเข็มและครอบแก้ว เพราะหัว คอ บ่า ไหล่ หลัง ไปยันขา มันปวดไม่หายมาเป็นปีแล้วค่ะ นวดแล้วก็ไม่หายขาด ช้ำอีกต่างหาก กายภาพบำบัดก็ทำบ้างไม่ทำบ้างเพราะคลินิกที่ถูกจริตอยู่ไกลเหลือเกิน พอดีแถวบ้านมีสำนักแพทย์แผนจีน และมีคนบอกมาว่าครอบแก้วนี่ดี ก็เลยแวะมา เพราะว่าอยากจะหายปวดเมื่อยจะได้เริ่มกลับมาวิ่ง ตามที่จิตแพทย์ของฉันแนะนำมา รองเท้า On Cloud 4 ก็สอยมาแล้วในราคาเซลส์สุดคุ้ม


"หมออยากให้คุณมารักษาต่อเนื่องสักพักก่อนนะคะ แล้วค่อยเริ่มวิ่ง

ตอนนี้กล้ามเนื้อคุณมันแข็งตึงไปหมด ถ้าไปวิ่งคุณจะเจอแรงกระแทกแล้วมันจะแย่ไปกว่าเดิม"

"แล้วออกกำลังกายอะไรได้บ้างคะหมอ?"

"เดินค่ะ เดินชันๆ ตั้งลู่วิ่งให้ชันๆ แล้วเดินนะคะ"


อะ สรุปกูซื้อรองเท้าวิ่งอย่างดีมาเดินช้าๆ สินะ...ฉันได้แต่รับปากหมอแล้วเดินออกจากคลินิกมาพร้อมจุดสีม่วงเข้มคล้ำเกือบจะดำ ขนาดทั้งใหญ่และเล็ก กระจายตัวตั้งแต่ฐานกระโหลก ไล่ลงมาแขน และลามไปยันขา ดูแล้วเหมือนโดนปลาหมึกยักษ์ข่มขืนมาพิกล


เพิ่งรู้เหมือนกันว่าถ้าครอบแก้วแล้วรอยครอบมีสีเข้มคล้ำแสดงว่ากล้ามเนื้อบริเวณนั้นอาการหนัก อักเสบมาก ถ้าคนที่อาการไม่หนักเขาจะเป็นสีชมพูจางๆ ไม่กี่วันก็หาย...ของฉันปาไป 3 อาทิตย์สิจ๊ะ เลเวลอักเสบเข้ากระดูกดำ



ออกจากคลินิกหมอฉันก็ตรงเข้าฟิตเนสแถวบ้านไปสมัครสมาชิกทันที เสร็จสรรพก็เปลี่ยนชุดขึ้นลู่วิ่ง กดตั้งความชันที่ประมาณ 3.5 แล้วก็เดิน...เดินไปเรื่อยๆ คนในฟิตเนสก็น่ารัก ทักทายเป็นมิตร


"ครอบแก้วมาเหรอคะ?""ครอบแก้วใช่มั้ยครับเนี่ย เจ็บมั้ย?"


แม่งคือตราบาปชัดๆ อีรอยครอบแก้วนี่ แล้วฉันต้องครอบทุกอาทิตย์ รอยจะจางวันไหนกี่โมง? ไม่ต้องหวังว่าจะเข้าฟิตเนสแล้วได้ลุคเก๋ๆ เป็นคนฟิตๆ ค่ะ เคลื่อนร่างเข้ามาเขาก็รู้กันหมดว่ากรูป่วย


การเริ่มวิ่งครั้งแรกของฉันในปี 2004 เต็มฟูไปด้วยแรงบันดาลใจจากหนัง แต่เฟสสองในปี 2020 นี้ มีแต่ความจำเป็นล้วนๆ ถ้าไม่วิ่งหมอก็อาจจะต้องเพิ่มโดสยาต้านเศร้าและยานอนหลับต่างๆ ที่กินอยู่ และก็จะต้องมีอีรอยครอบแก้วนี่ไปเรื่อยๆ อีกด้วย


ช่วงสองเดือนที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาเดินชันอยู่ในฟิตเนส เป็นช่วงเวลาที่สอนให้ฉันเจียมตัวอย่างมาก จากที่เคยเป็นนักกีฬาโรงเรียน เล่นกีฬานั่นนี่มาแทบจะตลอดชีวิต (เพิ่งหยุดไป 7 ปีเอง แหะๆ) ฉันกลายเป็นป้าแก่ตัวมีจุดเดินต้วมเตี้ยม หน้าเหี่ยวผิวแห้งผมไม่เป็นทรง เดินไปก็แค้นไป ไม่รู้จะแค้นอะไรเหมือนกัน แต่แค่รู้สึกว่าตัวเองน่าจะเลือกใช้ชีวิตผิด ที่ผ่านมาฉันทำแต่งาน ทุ่มเทชีวิตให้งานมาตลอด 20 ปี เมื่อก่อนอายุน้อยกว่านี้ แรงเยอะ ตำแหน่งงานยังไม่สูง ก็พอจะมีเวลาดูแลตัวเองบ้าง เข้าฟิตเนสอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งได้บ้าง แต่พอแก่ขึ้น แรงลด ความรับผิดชอบเพิ่ม แค่ทำงานและฟาดฟันกับการเมืองในออฟฟิศให้ผ่านไปแต่ละวันก็อ้วกเป็นเลือดแล้วค่ะ อะไรคือดูแลตัวเองคะ เล็บตีนนี่แทบจะลืมตัด บางทีขนหน้าแข้งไม่ได้โกนเป็นเดือน คิ้วเคิ้วปล่อยรกไม่เป็นทรง เสื่อโยคะอย่างดีที่เคยซื้อมาฝึกจริงจังกลายเป็นที่รองเอาไว้นอนบนพื้นเวลาปวดหลัง นอนไปก็ไถมือถือกดซื้อของไร้สาระไป เพราะรู้สึกว่ามันคลายเครียด ตอนนั้นเงินเดือนฉันสูงระดับหกหลัก แต่ฉันกลับคิดได้ว่า จริงๆ แล้ว...


เงินเดือนแม่งคือค่ากำจัดความเครียด


ยิ่งเขาให้เงินเดือนแกมาก เขาก็จะให้ความเครียดแกมากขึ้นด้วย และเงินที่แกได้มาก็จะหมดไปกับการบำบัดความเครียดให้ตัวเอง เช่นกินร้านดีๆ ดื่มไวน์ตัวท็อปๆ ปาร์ตี้หลังเลิกงาน ช้อปปิ้งบำบัด หรือพบจิตแพทย์ พบหมอแมะ ฝังเข็ม ครอบแก้ว ทำหน้า ฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ทำไฮฟู่ ทำตึงในส่วนต่างๆ ซื้อประกันสุขภาพแพงๆ เพราะมึงจะป่วยบ่อย และมึงติดหรูต้องนอนห้องคืนละ 9,000 ขึ้นไปและต้องนอนโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำเท่านั้น เผื่อใครมาเยี่ยมจะได้สมฐานะ หรือซื้อสมาชิกฟิตเนสเพราะมึงต้องประคองสังขารไว้รับมือกับงาน หรือไม่ก็ซื้อจักรยานแพงๆ ทำจากคาร์บอนยกด้วยนิ้วเดียวได้ เอาไว้ไปปั่นกับก๊วนที่ Sky Lane สามเดือนครั้ง พร้อมใส่ชุดรัดนมรัดไข่ยี่ห้อดัง ปลอบใจตัวเองว่าเราออกกำลังกายนะ! หรือไปเที่ยวเมืองนอกฉ่ำๆ เพราะมึงคิดว่าทำงานเหนื่อยแล้วต้องพักให้คุ้ม...แล้วไปทีก็ต้องโพสท์ลงโซเชียลให้บรรดาเพื่อน ลูกค้า และลูกน้องเข้าใจ (ผิด) ว่าฉันมีชีวิตที่ดี ดูสิจ๊ะทุกคน มาย ไลฟ์ อิส กู๊ด! ...นี่แหละ คือสิ่งที่ฉันเห็นตัวเองและคนรอบตัวในวงการเป็นกันราวกับโดนสะกดจิต


เอาจริง...ถ้างานไม่เครียด เราจะต้องเอาเงินเดือนเยอะๆ มาจ่ายกับเรื่องพวกนี้มั้ยนะ? ถ้าชีวิตเราเรียบง่ายกว่านี้ เราจะรู้สึกว่าเราต้องจ่ายกับสิ่งเหล่านี้มั้ย? เราถูกค่านิยมในสังคมปั่นหัวให้เชื่อว่านี่คือวิถีที่ถูกต้อง คือไลฟ์สไตล์ที่ดีงาม น่าชื่นชม รึเปล่าวะ? แน่นอนงานแต่ละงานมันมีความเครียดคนละแบบ แต่เราจำเป็นต้องเลือกงานที่เครียดแบบนี้ เลเวลนี้ เพื่อจะได้เงินมากเท่านี้มั้ยนะ?



เดินไป...คิดไป...บางทีฉันอาจจะเลือกผิด แต่...ก็กูมาไกลขนาดนี้แล้ว ฟาดฟันปีนบันไดมาถึงระดับไดเรกเตอร์แล้ว ชินกับชีวิตอู้ฟู่อยู่ดาวน์ทาวน์กรุงเทพแล้ว ติดกับนามบัตรตำแหน่งโตๆ ไปแล้ว เวลาใครถามว่าทำงานอะไรก็เชิดหน้าตอบเขาจนชินแล้ว...กูจะลงยังไงล่ะคะ?


นั่นสิ...ใช้ตีนคิดยังไงก็ยังคิดไม่ออก ฉันก็เลยเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับความสับสนที่เกิดจากการใช้ตีนคิดครั้งนี้มาตั้งแต่นั้น

Comments


ใช้ตีนคิด

think with your feet

  • strava
  • Instagram

© 2035 by Poise. Powered and secured by Wix

bottom of page