ถ้าไม่ฉีดยาก็ผ่าตัดครับ
- คุณแหนด
- Dec 14, 2024
- 2 min read
"โอ้โห เดี๋ยว หมอคะ!! ทำไมมันข้ามสเต็ปไปไกลจังฟระ??"
ใจเย็นนะคะ ฉันคิดในใจเฉยๆ แต่ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ ยังควบคุมปากได้อยู่ แต่ก็คิดว่าสีหน้าและแววตาน่าจะพูดแทนไปหมดเรียบร้อย หมอเลยตอบมาเรียบๆ ว่า
"ก็ลองทานยาดูก่อน แล้วอีก 10 วันค่อยมาดูกันใหม่ละกัน"
คุณ ใครจะไปคิดว่าการออกไปวิ่ง 6 กิโลเมตร...ใช่ค่ะ แค่ 6 กิโลเมตรนะคะ...ด้วยความเร็วโคตรช้า (วันนั้นเพซ 9 กว่า) จะทำให้ชีวิตฉันต้องได้ยินคำว่า "ผ่าตัด" ฉันเคยวิ่ง (ผสมเดิน) ไกลกว่านี้มาแล้ว เที่ยวนี้ฉันแค่พยายามวิ่งต่อเนื่องโดยไม่เดิน แถมตอนวิ่งจบกลับมาบ้านก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรผิดปกติ วิ่งเสร็จก็ยืดเหยียดไปตามประสา อาจจะไม่ได้ถูกต้องมากแต่วันถัดมาก็ไม่ได้รู้สึกทรมาน สะโพกซ้ายอาจจะตึงๆ บ้างพอให้รำคาญเบาๆ เท่านั้นเอง
ก่อนที่ฉันจะมาหาหมอ ฉันก็ใช้ชีวิตปกติอยู่ประมาณ 2 วันหลังจากการวิ่งในวันนั้นค่ะ ไม่ได้ใช้ร่างกายหักโหมใดๆ ไม่ได้ไปฟิตเนส ฉันแค่ออกไปทานข้าวกับสามีและเพื่อนตอนสายๆ ทุกอย่างก็ปกติดี จนพอกลับมาถึงบ้านตอนเที่ยง ฉันหย่อนก้นที่โซฟาได้แป๊บนึง สามีก็เรียก ฉันเลยลุกขึ้นแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เท่านั้นแหละ...
ยังไม่ทันจะยืดตัวยืนเต็มที่ อยู่ดีๆ เอวซ้ายและสะโพกซ้ายของฉันก็เหมือนโดนกระแสไฟฟ้าฟาด เหมือนคนเอาสายชาร์จรถ EV รุ่นกระแสตรง super charge ตัวท็อปมาเสียบ เจ็บแปล๊บบบบขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว ฉันถึงกับต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้น โห...เกิดมาไม่เคยเจ็บตูดเท่านี้มาก่อนอะ พอฉันพยายามลุกขึ้นยืน มันก็ยังโดนชาร์จอยู่อีก เจ็บแปล๊บบบจนต้องงอตัว ความรู้สึกมันเหมือนกับว่า ถ้าฉันยืดตัวตรง ไอ้ก้นซ้ายมันจะหย่อนลงตามแรงโน้มถ่วงใช่มั้ย ทีนี้เจ้าเอวซ้าย ช่วงใกล้ๆ กับกระดูกสันหลัง ที่มันอยู่เหนือก้น มันก็เหมือนจะถูกน้ำหนักก้นดึง แต่มันอ่อนแอมากจนรับน้ำหนักก้นแทบไม่ไหว ถ้าคิดเป็นภาพจะเหมือนกระดุมเสื้อที่ด้ายหย่อนจนห้อยโตงเตงใกล้หลุด ประมาณนั้นน่ะ
ฉันจึงต้อง คลาน ค่ะ...คลานสี่ขา ไปทิ้งตัวบนเตียง แล้วก็คิดว่ายืดๆ เหยียดๆ ทาน้ำมันมวยเอาเดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น แต่ทุกครั้งที่ฉันพยายามจะยืดเอวซ้ายหรือก้นซ้าย อีสายชาร์จไฟมันก็จะยิ่งทำงานหนักกว่าเดิม แถมยังยืดไม่ค่อยจะไป มันติดมันตึงมันร้าวไปหมด คุณผัวก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนเวทนา แล้วคนสติดีๆ อย่างฉัน...มีเหรอคะจะไม่กูเกิ้ลอาการตัวเอง (ไม่อยากแนะนำนะคะ มันเสี่ยงจะพาออกทะเลไปกันใหญ่) พิมพ์ไปสิ... อาการ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกเสื่อม กล้ามเนื้ออักเสบ เจ็บแปลบ sharp pain อะไรใดๆ จนมาเจอคำว่า Piriformis syndrome หรือ "สลักเพชรจม" ค่ะ อ่านรายละเอียดแล้วก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าเราน่าจะเป็นอันนี้แหละมั้ง ไม่อยากเป็นหมอนรองกระดูกอะ มันดูจริงจัง มีถาม Chat GPT ด้วยนะ บรรยายอาการให้แชทฟังเป็นวรรคเป็นเวร กว่าจะได้สติว่าทั้งฉันและแชทไม่มีใครจบแพทย์มา ก็ผ่านไปแล้ว 6 ชั่วโมง
เราถึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลกันค่ะ วิธีไปโรงพยาบาลคือสามีต้องเอารถเข็นขนของที่ทางคอนโดมีไว้ให้ลูกบ้านใช้ มาให้ฉันขึ้นไปทำท่า all four เหมือนท่าคลานสี่ขาน่ะคุณ เพราะท่าอื่นมันเจ็บหมดค่ะ แล้วเขาก็เข็นฉันผ่านบรรดาเพื่อนบ้านไปจนถึงรถ...ไม่รู้เจ็บหรืออายมากกว่ากัน
ตัดภาพไปที่โรงพยาบาล หลังจากรับยาเรียบร้อย เวรเปลก็เข็นฉันมารอขึ้นรถกลับบ้านค่ะ การนั่งบนวีลแชร์ของฉันนั้นก็แสนทรมาน คือก้นซ้ายมันบอบบางจนรับน้ำหนักอะไรไม่ได้เลย ฉันต้องนั่งเอียงตัวไปทางขวา เหมือนคนอยากหนีออกจากเก้าอี้ตลอดเวลา ถ้าเป๋ซ้ายเมื่อไหร่อีสายชาร์จไฟมันจะมา นั่งไปก็โอดครวญร้องครางไปเป็นพักๆ จังหวะนั้นฉันนั่งคิดในใจว่า...หมอไม่ได้จับร่างกายกรูเลยนี่หว่า...คือไม่ได้ให้นอนบนเตียงตรวจ ไม่ได้ลองกด ลองจิ้ม ลองพับ ลองงอ ลองเคาะอะไรใดๆ เลย นั่งคุยกันบนเก้าอี้อย่างเดียว แล้วก็คาดการณ์ว่าฉันน่าจะเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่ง "ถ้าไม่หนักมากมันหายเองได้ ทานยาไปก่อนนะ"
ดังนั้น ที่หมอบอกว่าสเต็ปต่อจากนี้ถ้าไม่ฉีดยาก็ผ่าตัดน่ะ ฉันเลยขอไม่เชื่อค่ะ ไม่ได้บอกว่าคุณควรจะไม่เชื่อหมอนะคะ ของแบบนี้ฉันว่ามันแล้วแต่กรณีไป (ไม่อยากทัวร์ลงนะ) แต่ฉันคิดว่า นอกจากหมอจะไม่ได้เช็คร่างกายฉันแล้ว หมอยังไม่ได้พูดถึงอีกหนึ่งอย่าง คือ การทำกายภาพบำบัดค่ะ พื้นเพฉันน่ะ คือแม่ฉันเปิดคลินิกกายภาพบำบัดมาก่อน ทำอยู่เกือบสิบปี ถึงฉันจะไม่ใช่นักกายภาพแต่ฉันก็คุ้นเคยกับคลินิก และเคยเห็นพี่ๆ เขาทำให้คนไข้กลับมาเดินได้ ใช้ชีวิตปกติกันนับไม่ถ้วน พอกลับถึงบ้านฉันจึงกูเกิ้ลหาคลินิกกายภาพบำบัดใกล้บ้านแล้วขอทำนัดทันที
จังหวะแรก นักกายภาพบำบัดถามฉันว่ามีผล X-ray หรือ MRI มาด้วยมั้ย? แหม่...ตอนแรกหมอก็บอกให้ทำ MRI ค่ะ จะได้เห็นชัดๆ ไปเลย แต่พอถามคุณพยาบาลแล้ว ได้คำตอบว่า
"ราคา 9,000 บาทค่ะ"
งั้นไม่ต้องเห็นชัดมากก็ได้...หลับตาข้างนึงไปก่อนก็ได้วะ!
คือ...ประกันสุขภาพฉันก็พอมีนะคะ แต่เคสนี้ฉันไม่ได้นอนโรงพยาบาล และฉันพยายามสร้างเรื่องให้มันดูเป็นอุบัติเหตุแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่า "มันไม่ใช่นะคะคุณผู้หญิง" ...จบค่ะ
การทำกายภาพบำบัดครั้งแรกก็ช่วยได้มากค่ะ โชคดีที่นักกายภาพของฉันใจเย็นและมือเบามากๆ เธอเป็นคนทำอะไรค่อยๆ ทำ ดูมีสติ ต่างกับฉันสุดๆ รอบนั้นเราใช้เครื่องอัลตราซาวด์และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า บวกกับการนวดเบาๆ ค่ะ ทำเสร็จนักกายภาพแนะนำให้ฉันหาไม้ค้ำยันและเข็มขัดรัดเอวมาใช้ และบอกว่าไม่ควรนอนเฉยๆ อย่างเดียว ควรฝึกกล้ามเนื้อด้วยการเดินในน้ำประกอบด้วย โชคดีที่ที่คอนโดมีสระว่ายน้ำค่ะ หลังจากกลับถึงบ้านสามีจึงรับหน้าที่ไปซื้อไม้ค้ำและเข็มขัดมาให้ โดยฉันกำชับไปอย่างดีว่า ฉันสูง 160 เซนติเมตร เขาจะได้หาไม้ค้ำที่พอดี

สรุป...สามีไปบอกพี่คนขายว่าฉันสูง 150 ค่ะ ปัดโธ่!!! ฉันเลยเหมือนป้าที่ขโมยไม้ค้ำหลานมาใช้ พร้อมเข็มขัดอันมหึมาสีเทา ยังกะใส่คอร์เซ็ท เดินตัวงอๆ กระดอกกระแดกไปสระว่ายน้ำ ผ่านไป 3 วันถึงตัดสินใจให้สามีไปซื้อไม้ค้ำมาใหม่ ทนสายตาเพื่อนบ้านไม่ไหวค่ะ อาย! (แต่ก็ไม่อายเท่าตอนคลานสี่ขาบนรถเข็นขนของแหละน่ะ) และขอเม้านิดนึง ไอ้เจ้าเข็มขัดพยุงหลังเนี่ย ฉันอยากรู้มากว่าใครดีไซน์แพ็คเกจจิง มันเป็นรูปชาวเอเชียใต้ (เดาว่าอินเดีย) สองคน ยืนจับมือเชคแฮนด์กัน เหมือนประสบผลสำเร็จในการเจรจาทางธุรกิจ คนนึงเป็นผู้ชายใส่ชุดพนักงานออฟฟิศ อีกคนเป็นผู้หญิงใส่สูทสีดำ แล้วคือ...ทั้งคู่ใส่อีเข็มขัดนี้!! คุณณณณ...ฉันว่ามันหดหู่ เอาเรื่องจริงชีวิตมนุษย์เงินเดือนสังขารพังมาขึ้นปกได้ไง!
การทำกายภาพบำบัดของฉันผ่านไปด้วยดีค่ะ นักกายภาพวิเคราะห์ว่าอาการของฉันน่าจะเกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบเฉียบพลัน และมีอาการสลักเพชรจมร่วมด้วย แต่ไม่ใช่หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในขณะเดียวกันฉันก็ทานยาที่หมอให้มาอย่างเชื่อฟัง (เห็นมั้ย ไม่ได้ไม่เชื่อหมอทั้งหมดนะคะ) ผ่านไป 10 วันจนถึงกำหนดนัดพบหมออีกครั้ง ฉันก็เดินเข้าโรงพยาบาลด้วยตัวเองได้แล้ว ยังใช้ไม้ค้ำเบาๆ และยังใส่คอร์เซ็ทพยุงไว้เผื่อเวลาต้องยืนนานๆ หมอจึงบอกว่าฉันไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่ทำกายภาพบำบัดต่อไป
ฉันมานึกย้อนดูนะคุณ...ว่าทำไมวิ่งแค่ 6 กิโลเมตรวันนั้นมันถึงทำฉันเดี้ยงได้เบอร์นี้ ไม่รู้เกี่ยวกันมั้ย แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฉันเครียดมากกับหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องที่ฉันต้องดูแลพ่อที่แก่และป่วยและดื้อมาก เรื่องงานที่มีแววจะถูกโกงตังค์ เรื่องวีซ่าของสามี ปัญหาคลาสสิกเลเวลไม่เผาผีระหว่างพ่อกับแม่ แถมเราเพิ่งย้ายบ้านจากภูเก็ต ไปอยู่ต่างประเทศ 1 เดือน ต่อด้วยกรุงเทพอีก 2 เดือนเพื่อดูแลพ่อ แล้วก็เพิ่งมาอยู่จังหวัดใหม่ กระเป๋าเดินทางยังเอาของออกไม่หมดเลย แล้วฉันก็ออกไปวิ่งเพราะอยากจะจัดการกับความเครียดนี่แหละ อาจจะลืมไปว่าช่วงที่ผ่านมาเราละเลยการออกกำลังกาย ไม่ได้ยกเวท ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ แถมร่างกายอาจจะตึงแข็งจากความเครียดด้วยมั้ง...พอออกไปวิ่งมันเลยโป๊ะแตก ฉันคิดว่านะ อาจจะผิด แต่เอาเถอะ สุดท้ายแล้วกายภาพบำบัดช่วยฉันได้ค่ะ
แต่สิ่งที่ฉันไม่ได้บอกนักกายภาพบำบัดตั้งแต่แรกคือ...ฉันเริ่มทำกายภาพวันที่ 5 พฤษภาคม ในสภาพโอดโอย เดินไม่ได้ เจ็บแปลบมีสาย EV ชาร์จ ผ่านไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ฉันพอเดินเองได้ แต่ก็ยังลงน้ำหนักข้างซ้ายไม่ได้ 100% และยังใส่เข็มขัดพยุงเอวช่วย รวมทั้งใช้ไม้ค้ำบ้าง
แต่วันที่ 26 พฤษภาฉันมีวิ่งงาน "พรหมโลกเทรล" ระยะทาง 12 กิโลเมตร ระยะไต่ 484 เมตร++ ที่นครศรีธรรมราชค่ะ!!! จ่ายตังค์แล้ว จองโรงแรม รถไฟ รถเช่า ใดๆ ไว้หมดแล้วนี่สิคะ!!!
สีหน้าคุณนักกายภาพไม่มีความมั่นใจเลยว่าฉันจะวิ่งเทรลได้...แต่ฉันเชื่อว่า...มันต้องได้สิวะ!!!
Comments