งานวิ่งงานแรก...แหกจ้ะ
- คุณแหนด
- Nov 10, 2024
- 2 min read
Updated: Dec 12, 2024
(สรุปให้ก่อนว่ามันคือความฉิบหาย แต่ยังครบ 32 ค่ะ จะได้ไม่ต้องลุ้นกัน ยาวหน่อยนะคะ)
ถามว่าความสามารถในการวิ่งของฉันพร้อมที่จะไปแข่งกับใครมั้ย? ไม่ค่ะ เหตุผลเดียวเลยที่ตัดสินใจสมัครงานวิ่งงานแรกคือ สามีจะสมัคร ความข้าวใหม่ปลามันฉันก็คิดว่าเราทำอะไรต้องทำด้วยกันสิคะ ถึงจะดีงาม
ฉันคิดเอาง่ายๆ ว่าสามีฉันก็ไม่เคยลงแข่งงานวิ่งมาก่อนเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะวิ่งเป็นประจำ และเวลาเราออกไปวิ่งด้วยกันเขาก็จะออมฝีเท้าและวิ่งๆ เดินๆ ไปพร้อมกับฉันเสมอ (เดี๋ยวนี้ไม่แล้วนะคะ หมดโปร!) ฉันจึงไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาวิ่งเร็วแค่ไหน (มารู้ทีหลังว่าเขาวิ่งอีซีคือเพซ 5...) ก็เลยคิดว่างานวิ่งครั้งนี้เราจะได้ชมวิวทิวทัศน์ของภูเก็ตไปด้วยกันจนถึงเส้นชัย บางช่วงอาจจะได้จับมือกันวิ่งให้นกหนูงูเห่าอิจฉา เซลฟี่กันเป็นระยะๆ
แล้วถามว่าฉันรู้มั้ย ว่างานวิ่งเนี่ยมันมีแบบวิ่งถนนและวิ่งเทรล? ไม่รู้ค่ะ งานวิ่งก็คืองานวิ่งสิคะ แถมระยะทางที่สมัครก็แค่ 10 กิโล พอๆ กันกับที่ฉันเคยวิ่งๆ เดินๆ มาบ้าง เอาอยู่ล่ะน่า งานเขามีบอก elevation gain ด้วยนะ ถามว่าเข้าใจมั้ยคืออะไร? แหม่ ไม่สิคะ!
ฉันจึงเตรียมตัวไปตามระดับสติปัญญา คือมีสปอร์ตบรา มีเลกกิ้งสีดำที่เคยใส่ฝึกโยคะ มีถุงเท้า 3 คู่ร้อย และรองเท้าวิ่ง Saucony Kinvara 11 (ห๊ะ?) ที่ฉันสอยมาจากร้านออนไลน์ในราคา 1,900 บาท แค่นั้น! ฉันพร้อมแล้วค่ะ สำหรับงาน Phuket Trail 2023 The Jungle เหอๆๆๆ
ความฉิบหายแรกคือเช้ามืดวันก่อนวันแข่ง ช่วงนั้นสามีดิฉันติดนิสัยตื่นตั้งแต่ตี 4 กว่าออกไปวิ่ง และเช้าวันนั้นเขาก็กะจะออกไปซ้อมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแข่ง แต่จังหวะว่าภูเก็ตช่วงปลายปีฝนตกชุก แถมอพาร์ทเมนท์ที่เราอยู่ก็อยู่บนเนินหญ้าลื่นปื๊ด ต้องเดินเหยียบแผ่นปูน 4-5 แผ่นที่เรียงกันอยู่ห่างๆ เพื่อลงไปข้างล่าง สามีฉันก็เดินไปในความมืดท่ามกลางฝนปรอยๆ ที่เขาบอกว่า "สดชื่นจะตาย" แล้วสักพักฉันก็ได้ยินเสียง "โอ๊ย!!!!" สงสัยอะไรหนีบมือเขามั้ง แต่สักพักมันมาอีกค่ะ
"โอ๊ย"...."โอ๊ยยยยยยยยยยยยย โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย นัดดาาาาาาา!!!! ขาาาา!!!!!!"
ไม่ใช่ละ น่าจะบรรลัยกว่าที่คิด ฉันพุ่งตัวออกไปดู พบสภาพเขานอนหงายท้องอยู่บนพื้นหญ้า กอดขาขวาตัวเองแน่น เงยหน้าหลับตาปี๋โอดโอย
"ไม่รู้ขาหักมั้ย เดินตกร่องปูนขาพลิก โคตรเจ็บ!"
ก็มันมืดไงคะคุณ! ไฟก็ไม่เปิด ฝนก็ตกฉ่ำปูนมันก็ลื่น ปัดโธ่! ฉันวิ่งเข้าไปในครัว คว้าเอาหมูสามชั้นในช่องฟรีซมามัดกับขาเขาไว้แล้วช่วยกันโขยกเขยกกลับห้องพัก ในขณะที่บรรดาเพื่อนบ้านที่น่ารักก็ชะโงกหน้ามาถามกันว่าพวกเธอโอเคมั้ย? ตื่นกันทั้งตึกค่ะ
ตัดภาพมาตอน 10 โมงเช้า สามีฉันหนีบไม้ค้ำสองข้าง เดินกระดอกกระแดกออกจากโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต ที่ร้องครวญครางราวขาหักนั้นน่ะ จริงๆ แค่พลิกจ้ะ ไม่มีอะไรบุบสลาย หมอบอกพักอาทิตย์นึงก็น่าจะโอเค แต่...แล้วไงอะทีนี้? ตอนบ่ายต้องไปรับหมายเลขที่จุดจัดงานแข่ง...สรุปเขาก็ต้อง DNS: did not start ไปตามระเบียบค่ะ อดวิ่งจับมือกันเลย (เขามาบอกทีหลังค่ะ ว่าเขากะวิ่งเต็มสปีด ไม่ได้กะจะรอด้วยซ้ำ...ฮ่วย!)
เช้าวันรุ่งขึ้น นอกจากอุปกรณ์อันเพียบพร้อมที่ฉันเตรียมไว้ ฉันจึงได้ใช้ "เป้น้ำ" ของสามีเพิ่มอีก 1 ชิ้น ฉันไม่เคยรู้จักเป้น้ำหรอกค่ะ แค่เคยเห็นเขาสะพายเป้อันนี้ออกไปวิ่ง ก็นึกว่าเป็นเป้จิ๋วเก๋ๆ และถึงฉันต้องลงแข่งงานนี้คนเดียว (ด้วยความเสียดายตังค์) แต่ฉันไม่กลัวเลยค่ะ มั่นใจมากว่าเอาอยู่ ตอนที่พิธีกรถามว่า "ใครวิ่งเทรลงานนี้งานแรกบ้างคะ?" ฉันก็ไม่ยกมือหรอกค่ะ ฉันว่าฉันแอ๊บเคยวิ่งได้ค่ะ วิ่งเทรลคืออะไรยังไม่รู้เลยเอาจริง! นึกว่าเขาพูดถึงชื่องาน... นี่แหละ การ "ใช้ตีนคิด" ที่แท้ทรูค่ะคุณ
พอแตรดัง ฉันออกวิ่งไปพร้อมกับคลื่นนักวิ่งกลุ่มใหญ่ ดูผ่านๆ ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากทุกคนหรอก เป้น้ำก็มีเหมือนๆ กัน (ที่ไม่มีคือความเจียมตัว แต่ไม่รู้ตัว) เราไต่ขึ้นเนินเบาๆ จากลานเอนกประสงค์ของอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ ขึ้นไปเจอทางโคลนสั้นๆ หลังจากนั้นเราก็ขึ้นไปอยู่บนสันเขื่อนค่ะ บรรยากาศตรงนั้นสวยมาก ก.ไก่สามพันตัว ถนนเป็นยางมะตอยอย่างดี ความมั่นใจฉันพุ่งขึ้นเต็มเปี่ยม แค่นี้อีแหนดทำได้ค่ะ! มองไปข้างๆ เห็นนักวิ่งบางคนเริ่มเดิน โถ๊ ฉันยังได้อยู่นะจ๊ะ ฉันชักโทรศัพท์ออกมาเก็บบรรยากาศแล้วก็ค่อยๆ วิ่งช้าๆ แต่มั่นคงต่อไป พอสุดสันเขื่อนมีป้ายลูกศรบอกให้เลี้ยวขวา ฉันก็วิ่งไปตามนั้น ยังไม่สำเหนียกว่ามีเนินลูกมหึมาจอดรอฉันอยู่
เอาจริงๆ ฉันไม่ได้ตกใจขนาดนั้นที่เห็นเนินนะคะ ฉันก็ปีนตามคนอื่นเขาไป ในหูก็ฟังเพลงไปด้วย รู้สึกชิวมาก ทางเดินเริ่มลัดเลาะเข้าไปในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ วิวก็เริ่มสวยขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน บางช่วงทางเป็นก้อนหินและลำธารเล็กๆ ฉันรู้สึกสนุก เหมือนได้มาวิ่งเล่นในป่า กระโดดข้ามขอนไม้ โลดแล่นน่ารักยังกะสาวน้อยจอมแก่นในนิยายของลอร่า อิงเกิล ไวล์เดอร์ ฉันเดินขึ้นเนินตามคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...เรื่อย...เรื่อย...........เรื่อย...
• ตอนออกตัวยังร่าเริงค่ะ การมีความมั่นใจแบบผิดๆ มันเป็นแบบนี้แหละคุณ
เฮ้ย...ทำไมมันไม่สุดซักทีวะ...เหนื่อยแล้วนะ พื้นราบๆ อยู่ไหน??? แล้วเวลาเราเดินทางชันๆ แบบนี้ ที่รู้สึกว่าเหนื่อยไปนั้นมันได้ระยะทางแค่น้อยนิด ยังไม่ทันจะ 3 กิโลฉันก็เริ่มหน้าถอดสีแล้วค่ะ แถมทางก็เริ่มกลายสภาพจากดินเป็นโคลน เพราะฝนที่ตกลงมาไม่หยุด และเพราะนักวิ่งระยะ 50, 35 และ 20 กิโล เขาได้เหยียบย่ำบดขยี้ทางเดินเหล่านี้ไปก่อนหน้าเราแล้ว เชี่ย...หรือมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดฟระ
ใช่สิจ๊ะ ถ้ามันง่ายเขาจะตั้งชื่องานว่า เดอะ จังเกิ้ล หรือคะเมิง! และในบัดเดี๋ยวนั้น ทางที่ว่าเดินยากอยู่แล้วก็ได้หดตัวเหลือความกว้างแค่ไม่ถึงฟุต แค่นั้นไม่พอ แม่งยังเอียงซ้าย พร้อมพาให้พวกเราไหลลงไปยังเหวที่ยิ้มรออยู่ข้างๆ ฝั่งขวาน่ะคือภูเขา มีต้นไม้และเถาวัลย์ใดๆ ให้พอเกาะยึดได้ ส่วนฝั่งซ้ายน่ะต้นไม้ก็มี แต่มีอยู่ไกลๆ ในเหวนู่น เอาไว้ดักร่างถ้าใครดันร่วงลงไป เดชะบุญที่ผู้จัดยังได้บรรจงผูกเชือกเส้นใหญ่เอาไว้กับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่เป็นระยะ ให้พวกเราเอาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจและกายหยาบ บรรดานักวิ่งพาอึ้ง แต่ก็สามัคคีกันเข้าแถวเรียงหนึ่งและค่อยๆ ย่องเบาไปตามสภาพ ผู้ชายหลายคนน่ารักมีน้ำใจ ยืนอยู่กับที่เพื่อจับเชือกไว้ไม่ให้สั่นแล้วให้คนอื่นๆ ผ่านไปก่อน จังหวะนี้เพลงสร้างมู้ดที่ฉันฟังอยู่กลายเป็นเสียงรบกวนแล้วค่ะ ฉันต้องการความเงียบและสมาธิในการข้ามสีทันดรครั้งนี้! แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งกรีดร้องขึ้นมา
"ช่วยด้วยค่ะ!!!!! ช่วยด้วยยยยยยยย!!! แงงงงงง!!!! ไม่ไหวแล้ว!"
ภาพที่เห็นคือร่างของนักวิ่งหญิงวัยรุ่นคนข้างหน้าฉันได้สไลด์ไหลลื่นลงไปห้อยอยู่ที่ปากเหว เหลือแค่มือสองข้างที่กำเชือกเอาไว้แน่นจนข้อนิ้วขาวยังกะเอ็นข้อไก่ไม่ได้ทอด เธอพยายามถีบขาเพื่อดันตัวขึ้นมา แต่มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เหมือนเธอกำลังพยายามปีนเขาด้วยโรลเลอร์เบลดอะคุณ มันไม่ขยับเลย นักวิ่งรอบๆ รวมทั้งฉันด้วยพากันเลิ่กลั่ก บรรดาคนที่กล้าหาญกว่าฉัน (ฉันไม่กล้าปล่อยมือจากเชือกเลยจ้ะ) เอามือจับต้นไม้ที่อยู่ฝั่งภูเขาไว้ แล้วใช้อีกมือช่วยดึงเธอขึ้นมาอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็สำเร็จ โอ๊ย ป้าจะเป็นลม
ฉันจำไม่ได้แล้วว่ามันกี่กิโล แต่พอเรามาถึงยอดเขา อะไรๆ ก็ค่อยง่ายขึ้นหน่อย ฉันแวะกินแตงโมที่เต๊นท์เสบียง เพิ่งเคยรู้ว่านักวิ่งเขากินแตงโมกัน แล้วก็ออกเดินต่อ คราวนี้...ขึ้นแล้วมันก็ต้องลงสิคะ ตอนขึ้นชันแค่ไหนตอนลงก็แบบนั้นแหละ รองเท้า Saucony Kinvara 11 ที่ฉันใส่อยู่นั้นคือรองเท้าวิ่งถนนอย่างดี ที่เรียกได้ว่าไร้ค่าโดยสมบูรณ์บนทางโคลนแบบนี้ค่ะ ฉันกับรองเท้าพากันไถลแถ หัวทิ่มหัวตำกันไปอย่างน่าอนาถ ในขณะที่กำลังต่อสู้กับชะตากรรมอยู่นั้น ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าตึกตักใกล้เข้ามาจากด้านหลัง พอหันไปมองก็พบนักวิ่งระยะ 30 กิโล 2 คน ทะยานลงเขากันมาอย่างเร็ว จะเรียกว่าบินก็ไม่ผิด ฉันเห็นพวกเขาถือแท่งอะไรไม่รู้ยาวๆ สีเหลืองสะท้อนแสงในมือทั้งสองข้าง เขาเอาแท่งนั้นปักพื้นเวลาถลาลงเนิน ฉันงงมากว่าเขาใส่รองเท้าอะไรกันวะทำไมมันไม่ลื่น (แข่งจบไปอาทิตย์นึงฉันถึงเพิ่งรู้ว่า อ๋อ โลกนี้มีรองเท้าเทรล และไม้เทรกกิงโพลจ้ะ...)
เอาหล่ะ หน้าคว่ำหน้าหงาย เอาตูดสไลด์พื้นมาจนถึงถนนแล้วค่ะ! ฉันเห็นยางมะตอยปุ๊บก็ดีใจทันที ไม่พอ ป้ายข้างทางยังเขียนว่า "กิโลเมตรที่ 9" อีกต่างหาก! ฝันใกล้เป็นจริงแล้วแก! ฉันจะแข่งจบจริงๆ ด้วย ฉันพยายามขูดโคลนที่เริ่มแห้งออกจากรองเท้า ซึ่งตอนนี้โคตรจะหนัก และวิ่งเหยาะๆ ไปตามทาง หวังอย่างแรงกล้าว่าจะเห็นเส้นชัยในไม่ช้า ณ จุดนี้ต้นขาหน้าของฉันแทบจะลุกเป็นไฟ ในใจคิดว่ากัดฟันเอาวะกิโลสุดท้ายแล้ว
วิ่งไปได้ไม่นานฉันก็เห็นป้ายลูกศรบอกทางให้เลี้ยวซ้าย นี่แหละ! ถึงเส้นชัยแล้วกู!! พอฉันเลี้ยวไปเท่านั้นแหละ ...เนิน...
เดี๋ยว...มึง นี่มันจะสิบกิโลแล้ว เนินอะไรวะ เส้นชัยมันอยู่ตรงลานเอนกประสงค์ จะให้กูไต่ไปไหนอีก??? ฉันหยุดยืนงง หันไปข้างๆ เห็นนักวิ่งอีกสองสามคนมาหยุดยืนงงอยู่ใกล้ๆ กัน แล้วพวกเราก็ต้องจำนนกับความจริงว่า...เราต้องแบกความท้อแท้ขึ้นเนินกันต่อไปจ้ะ...จังหวะนี้ฉันอยากได้ยาต้านเศร้ามากค่ะ อะไรมันจะไม่จบไม่สิ้นขนาดนี้ แต่คราวนี้ฉันพอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง จากที่ได้เห็นนักวิ่งระยะ 30 กิโลเขาใช้แท่งยาวๆ ปักพื้น ฉันจึงหาท่อนไม้ในป่าเอามาถือเป็นไม้เท้า ใช้พยุงตัวเองขึ้นเนินอันไม่คาดฝันนี้ ไอ้ที่ตั้งใจจะแอ๊บว่าไม่ได้วิ่งเทรลครั้งนี้ครั้งแรกก็พังพินาศ นักวิ่งคนหนึ่งแซงหน้าฉันไปและถามว่า...
"งานแรกใช่มั้ยครับเนี่ย? งานหน้าอุปกรณ์ต้องมาแล้วนะ"
ฉันยิ้มแห้งๆ แล้วก็ก้มหน้ารับชะตากรรมต่อ ซึ่งเอาจริงๆ ถึงตอนนี้ ใครเคยหรือไม่เคยวิ่งเทรลมาก่อนมันดูออกหมดแหละ ฉันเริ่มสังเกตว่านักวิ่งหลายคนไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยเหมือนฉัน บางคนเดินตัวงอขึ้นเนิน เอามือยันเข่าแบบรู้เลยว่าไม่ได้กะจะมาเจออะไรแบบนี้ บางคนใช้วิธีจ้ำเร็วๆ เป็นช่วงสั้นๆ แล้วหยุดพัก ส่วนบางคนใช้วิธีเดินก้าวเล็กๆ ช้าๆ ช้ามากๆ แต่ไม่หยุด ต่างคนต่างหาวิธีที่จะหอบสังขารไปให้พ้นๆ เนินนรกแห่งนี้
• ดูเอาค่ะ! นี่แค่หนึ่งในทางแคบเลียบเหวที่เราต้องผ่านไปนะคะ มางานนี้เรียกว่า "ถึงป่า" เดอะ จังเกิ้ล จริงๆ
และแล้วเราก็มาถึงยอดเขา (อีกแล้ว) ค่ะ ต่อจากนี้คือทางลง (อีกแล้ว) ซึ่งนอกจากจะลื่นเหมือนขาขึ้นแล้ว ถ้าใครคิดว่าลงเขาง่ายขอบอกเลยว่า แม่งยากยิ่งกว่าตอนขึ้น เพราะมันต้องใช้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (ที่แทบจะหมดสภาพแล้ว) ในการเบรกตัวเองในทุกๆ ก้าว เพื่อไม่ให้ไหลเร็วเกินไป ซึ่งปวดเข่าฉิบหาย และถ้าคุณได้เริ่มกระบวนการลงเนินแล้ว คุณจะหยุดไม่ได้นะคะ เพราะมันชันมากและลื่นมาก คุณต้องก้าวต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่ขาแสบจนจะไหม้อยู่แล้ว ถ้าคุณหยุดก็คือหน้าคะมำ และถ้าคุณกะจะโผตัวไปเกาะต้นไม้ที่มีอยู่เป็นช่วงๆ ก็ต้องระวังด้วยเพราะบางต้นมีแต่หนาม! แถมบนพื้นก็มีรากไม้สั้นๆ ทิ่มแทงขึ้นมาตลอดทาง คอยดักให้ขาที่หรอยแรงของคุณได้สะดุดอย่างน่าสมเพช และถ้าคุณมัวแต่มองพื้นเพื่อจะหลบรากไม้ เถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากเบื้องบนก็จะเกี่ยวหัวคุณให้หงายเงิบ หรือไม่ก็ฟาดหน้าผากเป็นรอยให้คุณได้ของฝากจากเมืองถลางติดหัวกลับบ้าน คุณจะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่คุณจะยังต้องมีสติและหูตาว่องไว คอยสังเกตสภาพรอบตัว และต้องคิดอยู่ตลอดว่า ก้าวต่อไปจะเอาขาไปวางตรงไหนดีวะกู...
พอหอบร่างลงมาถึงตีนเนิน ฉันก็ใช้สติจนเซลล์สมองฝ่อไปหมดแล้วค่ะ ตอนนั้นทางข้างหน้าเริ่มเป็นถนนคอนกรีตเรียบๆ ฉันเริ่มใจชื้นอีกครั้ง คราวนี้มันต้องถึงเส้นชัยจริงๆ สักที! ฉันจึงออกวิ่งด้วยแรงที่กระเตื้องขึ้นมาบ้าง แต่วิ่งไปได้ไม่ถึงสิบเก้า ใครไม่รู้เสือกเปิดฝาท่อทิ้งไว้ค่ะ ฉันก็ร่วงลงไปเต็มๆ สิคะ ถึงเอว! อีฉิบหาย จะอะไรกะกูนักหน๊าาาาา!!!! ดีนะถลอกไม่มาก ฮือ!!!!
ในที่สุดฉันก็มาถึงเส้นชัยค่ะ สามีฉันยืนใส่เสื้อกันฝนสีเหลืองอ๋อยยันไม้ค้ำรออยู่ พอเขาเห็นฉันก็ยิ้มแก้มปริน้ำตาคลอเบ้า ดีใจมากที่เมียรอดกลับมาได้ เพราะระหว่างที่เขารออยู่ที่เส้นชัย เขาได้ยินนักวิ่งที่มาถึงก่อนฉันพากันบ่นอุบว่า "งานนี้โหดสัด!!!" ที่สำคัญ มันไม่ใช่ 10 กิโลค่ะ ระยะทางจริงปาเข้าไป 14 กิโลกว่า! เขาได้แต่คอยมองจุดบนมือถือ จาก Strava Beacon ที่ฉันส่งให้ ซึ่งมันก็มีสัญญาณบ้าง อับสัญญาณบ้าง จุดฉันก็ผลุบๆ โผล่ๆ ให้เขาใจหายเล่น ตอนนั้นเราไม่มีนาฬิกาวิ่งค่ะ การ์มินคืออะไรไม่รู้จัก เราใช้ Strava เอา โลวเทคสุดๆ
สภาพของฉันก็คือตัวเปื้อนโคลน เลกกิ้งไนกี้ตูดขาดเป็นรู รองเท้า Saucony Kinvara 11 เปลี่ยนสภาพจากสีขาวเป็นสีขี้ (ค่ะ...ฉันใส่รองเท้าสีขาวค่ะคุณ! คนมันคิดไม่ได้ก็คือคิดไม่ได้จริงๆ!!!) และไม่เคยซักออกอีกเลยนับจากนั้น ผู้จัดงานเขามีบ่อลมใส่น้ำไว้ให้เราล้างตัว ฉันก็ลงไปนั่งแช่อย่างน่าเวทนา หลังจากรับเหรียญแล้วฉันก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถ อาหารอะไรที่เขาเตรียมไว้ให้ไม่ได้กินหรอกค่ะ ใครจะไปกินลงเหนื่อยขนาดนี้

• คนอะไรใส่กางเกงโยคะกับรองเท้าวิ่งถนนมาลุยทางเทรลที่มีแต่โคลน?
จบงานสามีพาฉันไปคาเฟ่ร้านโปรด แต่ฉันจะตายค่ะ ต้องนอนราบไปกับโซฟา มันไม่มีแรงเหลือเลยจริงๆ รู้สึกตัวเย็นไปหมด กินอะไรก็ไม่ลง ได้แต่จิบน้ำส้ม จังหวะนั้นบอกตัวเองเลยว่าจะไม่สมัครงานวิ่งอีกแล้ว...
ก่อนที่สามีจะบอกว่า "เธอๆ ดูผลรึยัง ระยะ 10 กิโล (ปลอม...14 ต่างหาก!) เธอเข้าที่ 96 จาก 134 คน และเธอเป็นผู้หญิงลำดับที่ 42 จากทั้งหมด 89 คนเลยนะ"
เฮ้ย...ฉันก็ไม่แย่นี่หว่า นี่ขนาดขาดความรู้ ขาดประสบการณ์ ขาดการซ้อม ขาดอุปกรณ์ ขาดสติ ฉันยังเป็นผู้หญิง 50% แรกที่เข้าเส้นชัยเลยนะ ฉันใช้เวลาไปทั้งหมด 4 ชั่วโมง 15 นาที กับอีก 13 วินาที ไม่ได้นานเหมือนความรู้สึกตอนอยู่ในสนามขนาดนั้น...
หรือว่า...มันจะมีงานต่อไป!?!?!?
Comments