top of page

การวิ่งกับสุขภาพจิต (ตก)

  • คุณแหนด
  • Nov 26, 2024
  • 2 min read

Updated: Dec 12, 2024


• สภาพเมื่อออกไปวิ่งยามจิตตก


เอาจริงๆ ที่ฉันมาวิ่งนี่ก็เพื่อสุขภาพจิต (ตก) ล้วนๆ นะคะ


ตอนดูหนัง "รัก 7 ปีดี 7 หน" สมัยเมื่อชาติปางก่อนนั้นฉันก็อยากจะ "เปลี่ยนชีวิต" ตามที่คุณนิชคุณสบตาฉัน (มองกล้องแบบเฉียดๆ) แล้วบอกว่าการวิ่งมาราธอนจะเปลี่ยนชีวิตได้ ถามว่าตอนนั้นไปถึงมาราธอนมั้ย...โฮะ 5 โลให้ได้ก่อนแม่


ตอนมาเริ่มวิ่งอีกรอบเมื่อปี 2021 นี่ก็เพราะหมอ...จริงๆ คือจิตแพทย์แหละ แนะนำแกมบังคับ แต่ฉันไม่เคยอธิบายละเอียดว่าทำไมต้องอยากเปลี่ยนชีวิต แล้วทำไมต้องไปพบจิตแพทย์ แล้วทำไมถึงมีปัญหาสุขภาพจิตตั้งแต่แรก


แต่ถ้าจะเอาละเอียดจริงเรื่องสุขภาพจิต ฉันอาจจะต้องเชิญผู้อ่านทุกท่านแต่งดำมาไว้ทุกข์เลยนะคะ เพราะมันจะหดหู่พอประมาณ และเรื่องราวยังยาวนาน ซ้ำซ้อน วนเวียน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด นรกจัดสรร สวรรค์มองเมิน...อย่ากระนั้นเลย เอาเบาๆ ก็พอเนอะ


คุณน่าจะเคยได้ยินคำว่า PTSD (Post-traumatic Stress Disorder) ซึ่งเรียกง่ายๆ คือเป็นอาการ "หลอน" ในจิตหลังจากการประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (trauma) เช่น คนที่ต้องเจอความโหดร้ายในสงคราม คนที่เคยเจออุบัติเหตุหนัก เป็นต้น คนเหล่านี้แม้ผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว แต่สมองของเขายังจำภาพและความรู้สึกในขณะนั้นได้ ทำให้เวลาเห็นภาพ หรือเจอเหตุการณ์อะไรที่คล้ายคลึง หรือทำให้นึกถึงเหตุการณ์แย่ๆ นั้น ก็จะเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ต่างๆ นานา


ของฉันนั้นพิเศษใส่ไข่นิดหน่อย คือเป็น C-PTSD (Complex Post-traumatic Stress Disorder) ว่าง่ายๆ คือการ "หลอนซ้ำซ้อน" เพราะเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เจอนั้นเกิดขึ้นซ้ำๆ บ่อยๆ เป็นเวลานาน...นานแค่ไหน...บางสำนักก็ตีความตัว C ว่ามาจาก Childhood ค่ะ ก็ตั้งแต่เป็นเด็กอ่อนด๋อยนั่นแหละ แล้วมันต่างกับ PTSD ยังไง? คือ ฉันก็ไม่ใช่นักจิตวิทยา ที่เขียนนี่ก็เอาความรู้มาจากหนังสือที่อ่าน บวกประสบการณ์ตรงนะคะ ผิดถูกตรงไหน ชี้แนะได้เลยค่ะ


อะ...ความต่างที่ฉันรู้ก็คือ คนที่มีอาการ PTSD เวลาเขา "หลอน" เขาจะหลอนเป็นภาพ เช่น เห็นภาพอะไรที่คล้ายคลึงกับ trauma ในอดีต ก็จะถูกกระตุก (trigger) ให้เกิดอาการเช่น แพนิค กังวล ซึมเศร้า กลัวตัวสั่น เป็นต้น อาการนี้เรียกว่า Flashback ส่วน C-PTSD นั้น มันไม่มีภาพค่ะ มันหลอนอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเรียกว่า Emotional Flashback ค่ะ อาการนี้จะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้อาร์ตไดทำ key visual ให้ยุ่งยากจ้ะ บางครั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเราเอง ก็สามารถ trigger ตัวเราเองให้เกิดอาการได้แล้ว นอกจากนั้นยังมีคำพูดจากคนอื่น สายตา กิริยาท่าทางที่คนอื่นแสดงต่อเรา แต่คนอื่นนี่ก็ไม่ใช่ว่าใครก็ได้นะ มันจะเกิดเมื่อเป็นคนที่เรารัก และมีความสำคัญกับเราค่ะ หรือแม้แต่เหตุการณ์ปกติในชีวิตประจำวัน เช่น เสียงกุญแจกรุ๋งกริ๋งที่หน้าประตูบ้าน (มีคนกำลังจะไขกุญแกกลับเข้ามา) ก็ trigger เราได้ ดังนั้นคือ แม่งแรนด้อมมาก แทบจะต้องตั้งรับกันตลอดเวลา


และในขณะที่เราอยู่ใน Emotional Flashback นั้น เราแทบควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้ค่ะ เพราะมันเสมือนเรากลับไปเป็นเด็กน้อยคนนั้นที่เต็มไปด้วยความกลัว ความเศร้า ความดราม่าสารพัดต่างๆ และกลับไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เป็น traumas อีกครั้งโดยช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้ ดังนั้น แม้เราจะอยู่ในสารร่างของวัยกลางคน แต่ใจเราในตอนนั้นคือเด็กมีปัญหาค่ะ ใครอยู่ร่วมซีนด้วยจะรู้เลยว่าฉันจะแทบไม่มีเหตุผล (เพราะไม่ได้อยู่ในโลกปัจจุบัน) หรือไม่ก็เศร้าจนคุยแทบไม่รู้เรื่อง ยากสัสค่ะ ซึ่งการถูก trigger ให้ย้อนเวลา นั่งไทม์แมชชีนโดราเอมอนกลับทวิภพไปเผชิญวิบากกรรม Emotional Flashback นี้ กว่าจะคลานกลับออกมาสู่โลกปกติได้ บางครั้งเป็นชั่วโมง หรือบางครั้งก็เป็นหลายสัปดาห์เลยทีเดียว


นี่แหละ...เพิ่งกลับออกมา เลยมาเขียนบล็อก ที่ไม่ได้เขียนมาหลายวันเพราะไปทวิภพมา กิจกรรมในโลกทวิภพคือ จมดิ่ง ซึมเศร้า ร้องไห้ เกลียดตัวเอง ทะเลาะกับสามี ขับรถหนีออกจากบ้าน ซื้อโทรศัพท์ใหม่ (???) นั่งเหม่อลอยไร้จุดหมาย ปวดหัว ปวดไหล่ ปวดตูด ซักผ้าทุกวัน เพราะไม่รู้จะทำอะไร แต่แทบไม่สามารถโฟกัสกับงานจริงๆ ที่ต้องทำได้ พยายามดูดปุ๊นแล้วแต่ปุ๊นไม่ดีดอีก น่าจะเก็บไว้นานเกิน ทั้งหมดนี้วนๆ ไป และไม่เรียงลำดับชัดเจน ประมาณ 10 วันได้


แล้วไหนคะเรื่องวิ่ง? มาค่ะ อยากรู้ใช่มั้ยคะว่าจะตั้งชื่อบล็อกให้เริ่มด้วย "การวิ่ง" ทำไม ถ้าจะพูดเรื่องสุขภาพจิตยาวขนาดนี้ แหะๆ ต้องขอเรียนเชิญทุกท่านย้อนไปดูประโยคแรกของบล็อกค่ะ (ล้อเล่น ไม่ต้องไถจริงนะ) คือฉันมาวิ่งก็เพราะอยากมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ดังนั้น เมื่อเราเป็นนักวิ่งจริงจัง และเราดัน Emotional Flashback ฉันจะทำไงล่ะคะ? ก็วิ่งไงคะ แล้วผลที่ได้คือ...


ฉิบหายจ้ะ


เหนื่อยมาก!!!!! เหนื่อยแบบผิดปกติ เหมือนจะตาย วิ่งอีซี่ยังกะวิ่งขึ้นเขาชีจันทร์ ยากฉิบหาย ขาก็เจ็บ ตูดก็เจ็บ วอร์มอัพแล้วก็ยังตึงไปหมดทั้งสังขาร ยิ่งวิ่งยิ่งยาก เพราะคอ บ่า ไหล่ หลังบน มันเกร็งไปหมดจากความเครียด ทำให้หายใจยากมาก คือมันเข้ารูจมูกนะ แต่มันไปไม่ถึงปอดอะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง อึดอัดโคตร แถมยังเฟลตัวเอง เพราะก่อนจะ Flashback เพิ่งไปวิ่งฮาฟ มาราธอน มา ตอนนั้นไม่เห็นเหนื่อยเลยจ้า จบสวยๆ แต่ตอนนี้แค่วิ่ง Tempo ยังไม่ไหว แทบจะต้องเข้า Temple ให้พระสวดปล่อยวิญญาณ จบสวดๆ แทน


แล้วสรุป...สาระคือ? คือการวิ่งน่ะ มันดีต่อสุขภาพจิตจริงนะคะ สาบาน แต่ ถ้าสุขภาพจิตคุณอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่มากอย่างที่ฉันเพิ่งประสบมา ฉันแนะนำว่า เดิน...ก่อนค่ะ เพราะความเครียดต่างๆ มันส่งผลกับร่างกายเราโดยตรง มันจะไปทำตึงในทุกส่วนที่มันทำได้ (แต่เสือกไม่ทำที่หน้าค่ะ แถมยังจะทำเหี่ยวอี๊ก! โบท็อกซ์ต่อไปนะคะ) ดังนั้น หากคุณตึงมากคุณก็อาจจะต้องวอร์มอัพให้เยอะ หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้บ่อย หรือคุณอาจจะต้องอาศัยตัวช่วยอื่นๆ เช่น นวดสปอร์ต หรือกายภาพบำบัด แต่ ความเครียดมันไม่หยุดแค่นั้นค่ะ เพราะเมื่อเราเผชิญวิบากกรรมรุนแรง (acute stress) จาก traumas หรือซ้ำซ้อนนานๆ (chronic stress) มันสามารถส่งผลให้เรามีอาการเจ็บเรื้อรัง หรือ chronic pain ที่ว่านานนี้สามารถนานเป็นเดือน เป็นปี หรือหลายสิบปีได้เลย ซึ่งจริงๆ แล้ว กล้ามเนื้อเอย เส้นเอ็นเอย อะไรต่างๆ นานามันรักษาตัวเองหายเรียบร้อยไปแล้วค่ะ แต่เป็นสมองเราเองที่ยังสร้างความเจ็บนั้นขึ้นมาซ้ำๆ ภาวะนี้เป็นอาการของ Mind Body Syndrome ซึ่งเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างใหม่ในวงการแพทย์ ใครสนใจเรื่องนี้ ลองกูเกิ้ลคุณหมอชื่อ Howard Schubiner นะคะ สำหรับ chronic pain ที่เกิดจาก Mind Body Syndrome นี้ ต่อให้คุณจะยืดเหยีดจนเสียดฟ้า หรือวอร์มอัพจนร่างเดือด มันก็จะยังเจ็บค่ะ คุณอาจจะต้องอาศัยการทำกายภาพหรือฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการซ้ำเป็นระยะ หรือลองอ่านหนังสือของคุณหมอ Schubiner ดูค่ะ เขาสอนวิธีรักษาตัวเองจากอาการนี้ ฉันเองก็อ่านอยู่ ถ้าได้ผลยังไงจะมาเล่าให้ฟังนะคะ


สิ่งที่ยากอีกอย่างก็คือ เมื่อสุขภาพจิตคุณตกตำ่และคุณมีภาวะหดหู่ ท้อแท้ บางครั้งการบังคับตัวเองให้ push เพื่อผลักดันขาให้สับออกไป หรือการบังคับตัวเองให้อยู่กับลมหายใจที่สั้นถี่ ปอดที่เหมือนหดเล็กลง และความเหนื่อยกายที่เกิดขึ้น...บางทีมันแทบจะทำไม่ได้เลยค่ะ ชุดความคิดมันจะแลนดิ้งในหัวว่า "ที่ผ่านมาก็เครียดจนเหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว ยังจะมาวิ่งแล้วทำตัวเองให้เหนื่อยอีกทำไม" ซึ่งถามว่าจริงมั้ย...ก็จริงอยู่นะ ความเหนื่อยล้าจากความเครียดมันมีจริงนะคะ บางครั้งเราไม่ได้ตระหนักถึงมันเพราะคิดว่า ก็ไม่เห็นจะทำอะไรเลย นั่งนิ่งๆ ดิ่งๆ ร้องไห้ไปวันๆ วิ่งก็ไม่ได้วิ่ง แต่จริงๆ แล้วความเครียดมันกัดกินพลังงานในร่างกายค่ะ ฉันเองก็เพิ่งค้นพบนี่แหละ ว่าถ้าไปดินแดน Emotional Flashback มา หลังจากหายเครียดใหม่ๆ ตัวเองจะยังไม่ค่อยมีแรง หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติ คล้ายๆ คนเพิ่งฟื้นไข้ อย่าเพิ่งฮึกเหิม เพราะเอาจริงๆ แค่ warm up jog อัตราการเต้นของหัวใจก็พุ่งยังกะวิ่ง Hill Repeats แล้วค่ะ


การวิ่งของฉันในช่วงที่เพิ่งออกจาก Emotinal Flashback ก็เลยเป็นการวิ่งเบาๆ ในช่วงแรกเท่าที่ทำได้ และไม่เจ็บจนเกินไป ถ้ารักษาเพซได้ก็ทำ ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้อง ถ้าเหนื่อยก็พักเดิน และเดินยาวๆ ในช่วงหลัง


สรุป…จิตตก ควรออกกำลังกายค่ะ มันช่วยให้จิตสูงขึ้นได้จริง การได้ขยับตัว หรือได้ออกไปนอกห้องสี่เหลี่ยมมีประโยชน์กับเรา แต่ต้องไม่ลืมว่าจิตกับกายยังไงก็สัมพันธ์กัน ดังนั้นถ้าจิตตกจนกายเหนื่อย ก็เริ่มจากเบาๆ เดินก่อน ยังไม่ต้องวิ่งก็ได้ ใจดีกับตัวเองไปก่อน แล้วค่อยๆ ให้เวลาทีมใจและกายค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเองค่ะ พวกเขาทำได้ แค่เราอย่าไปเร่งรัด


อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่าคุณๆ จะได้ประโยชน์หรือแง่คิดอะไรไปบ้างนะคะ ส่วนฉัน ขอไปทำนัดนักกายบำบัดก่อนนะจ๊ะ สวัสดี





Comments


ใช้ตีนคิด

think with your feet

  • strava
  • Instagram

© 2035 by Poise. Powered and secured by Wix

bottom of page