250 กิโลเมตรเลยเหรอฟระ!?
- คุณแหนด
- Dec 10, 2024
- 2 min read
Updated: Dec 12, 2024
ไม่ใช่ระยะทางของรายการอัลตราเทรลงานใหม่ที่ฉันจะไปแข่งนะคะ สังขารยังไม่ถึงขั้นนั้น! แต่หมายถึงระยะทางทั้งหมดที่ฉันวิ่งไปทั้งหมด...กว่าจะรู้สึกว่าตัวเองเริ่ม "วิ่งเป็น"
และที่ว่าวิ่งเป็นนี่ไม่ได้หมายถึงว่าวิ่งมาราธอนได้จบอย่างสวยงาม ความเร็วอวดชาวบ้านได้ หรือถ่ายรูปแล้วดูดีทุกช็อตนะจ๊ะ คำว่า "วิ่งเป็น" ที่ว่านี่คือ...วิ่งแล้วรู้สึกตัวไม่หนัก หลังไม่ปวด ไหล่ไม่เกร็ง คอไม่เมื่อย แกว่งแขนแล้วไม่รู้สึกฝืนๆ สับขาแล้วไม่รู้สึกเก้ๆ กังๆ ตัวไม่ค่อยเด้งดึ๋งไปดึ๋งมา เหมือนตอนเริ่มวิ่งใหม่ๆ
ฉันเขียนบทความนี้เพราะอยากจะให้กำลังใจคนที่เพิ่งเริ่มวิ่ง หรือเพิ่งเริ่มกลับมาวิ่งนะคะ ถ้าคุณรู้สึกว่ามันเหนื่อย มันยาก และไม่สนุก ฉันอยากบอกว่าไม่แปลกค่ะ ฉันเชื่อว่าแทบทุกคนรู้สึกไม่ต่างกัน แต่ถ้าเราไม่ท้อและตั้งใจวิ่งไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ปรับการวิ่งของตัวเองไปเรื่อยๆ อะไรๆ มันจะดีขึ้นแน่นอน วันนี้ก็เลยอยากมาเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าฉันเจออะไรมาบ้าง และพยายามทำอะไรมาบ้าง กว่าจะเริ่มรู้สึกว่าวิ่งแล้วไม่ทรมาน นะ
ตอนเริ่มวิ่งครั้งแรกๆ เมื่อปี 2004 ฉันจำได้ว่าทุกก้าวราวกับการชดใช้กรรม มันทั้งเหนื่อยและไม่สนุก ชวนให้ท้อเอามากๆ แล้วเวลามองไปรอบๆ เห็นคนอื่นที่เค้าวิ่งมานานแล้ว ก็จะคิดว่า...ทำยังไงถึงจะวิ่งได้แบบเค้าฟระ? ทำไมเค้าดูไหลๆ สบายๆ กันจังเลย วิ่งไปได้เรื่อยๆ ดูคลายๆ แต่ไปเร็ว ในขณะที่กรูนี่หายใจแรง หัวใจเต้นถี่ ปวดเมื่อยเกร็ง ขาแสบขาร้อน เลือดทั้งร่างพุ่งขึ้นมากองอยู่ที่หน้า มองไกลๆ นึกว่าแตงโมที่จุดให้น้ำ แถมความเร็วยังเทียบเท่าหรือช้ากว่าอาม่าหลายท่านที่เดินเล่นอยู่ ถึงพยายามกัดฟันวิ่งให้เร็วขึ้นมันก็ทำได้แป๊บเดียว เพราะหัวใจจะหลุด หน้าร้อนผ่าวแทบจะระเบิด
สิ่งที่ฉันทำในตอนนั้นก็คือ ฝืนทำมันไปเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ได้มีการหาความรู้เพิ่มเติมใดๆ วิ่งไปแบบทรมานร่างกายไปงั้นแหละ พอมันทรมานมากๆ เข้าฉันก็ย้ายตัวเองเข้าไปวิ่งบนลู่วิ่งในฟิตเนส ตากแอร์ ให้สายพานมันเลื่อนช่วยเรา ฉันว่ามันเหนื่อยน้อยกว่าวิ่งข้างนอกมาก ก็เลยวิ่งอยู่แต่บนลู่นั่นแหละ ไม่ได้พัฒนาไปไหน ไม่ได้เจอใคร ไม่ได้เห็นนักวิ่งคนอื่นๆ แค่วิ่งต่อเนื่องได้ถึงประมาณ 1 ชั่วโมง ด้วยความเร็วลู่ที่ระดับ 6 (เท่ากับ 6 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช้ามากกกก)
ส่วนตอนที่กลับมาวิ่งอีกครั้งหลังจากหยุดออกกำลังจริงจังไป 7 ปี (เท่ากับเริ่มใหม่จากศูนย์แหละ) ฉันจำได้ว่าครั้งแรกที่สามีชวนออกไปวิ่ง ฉันวิ่งไปได้แค่ 20 วินาทีก็แทบจะเห็นหน้าพระเยซูลอยมารับไปสวรรค์ (หรือนรกหว่า) มันเหนื่อยจนต้องหยุดยืนหอบน่ะคุณ ทำได้แค่นั้นจริงๆ แต่ก็พยายามลากสังขารไปเรื่อยๆ นะ วิ่งๆ เดินๆ หยุดๆ มันไปงั้น โดยฝ่ายสามีผู้ปกติวิ่งเร็วมาก ก็จะวิ่งนำหน้าไปแล้วซักพักก็วิ่งย้อนกลับมาหาฉัน ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนเรากลับมาถึงบ้าน แล้วเขาก็บอกฉันว่า
"เธอๆ ที่เราไปกันมานี่มัน 10 โลเชียวนะ"
นั่นทำให้ฉันเลยเริ่มมีกำลังใจค่ะ ต่อให้มันจะง่อกๆ แง่กๆ แวะตายบ้างเป็นครั้งคราว แต่มันก็ 10 โลแหละวะ! หลังจากนั้นเขาก็ชวนฉันออกไปวิ่งอีก 2-3 ครั้ง ในระยะทางเท่าๆ เดิม บางครั้งฉันต้องวิ่งไปดมยาดมไปก็มี หรือบางครั้งก็เดินมันครึ่งทางก็มี แต่อย่างน้อยก็พอจะมั่นใจอยู่บ้างว่าเราไปถึง 10 กิโลมาแล้ว

ต่อมาเมื่อสามีชวนสมัครงาน Phuket Trail 2023 ระยะ 10 กิโลเมตร ฉันจึงหยิ่งผยองในใจมากว่าทำได้แน่นอน และสมัครไปโดยไม่ได้ซ้อมอะไรจริงจัง ซึ่งก็ทำได้จริงๆ นะ แต่แค่ไปนอนตัวเย็น หายใจถี่ หมดสภาพที่ร้านกาแฟหลังแข่งแค่นั้นเอง แหะๆ
ซึ่งเส้นทางการฝึกวิ่งของฉันนั้น จะบอกว่าแข่งไปฝึกไปก็คงไม่ผิด เพราะ 2 เดือนหลังจากจบงาน Phuket Trail ฉันก็ลงแข่งงานต่อไปโดยแทบไม่ได้ซ้อมอะไรอีกเช่นเคย รวมๆ แล้วรายการแข่งที่ฉันไปมาทั้งหมด กว่าจะรู้สึกว่าตัวเองวิ่งเป็น มีดังนี้ค่ะ
พฤศจิกายน 2023 ธัญญะปุระ เทรล ระยะ 15 กม. ที่ภูเก็ต
กุมภาพันธ์ 2024 ตาดหมอกมาราธอน ระยะ 10 กม. ที่เพชรบูรณ์
มีนาคม 2024 YOLO RUN ระยะ 10 กม. ที่พัทยา
เมษายน 2024 คลองมะเดื่อเทรล ระยะ 15 กม. ที่นครนายก
และพอฉันมาดูรูปถ่ายของงานที่ว่ามาทั้งหมดนี้นะ ฉันดูไม่เหมือนคนไปแข่งวิ่งเลยคุณ เหมือนไปแข่งสับขาถี่มากกว่า เพราะฉันทำเป็นแค่วิ่งก้าวสั้นๆ เพื่อประคองตัวเองให้มีแรงเหลือไปจนจบระยะ แต่ละรูปเท้าฉันแทบไม่ลอยจากพื้นเลย ขาที่สั้นป้อมอยู่แล้วยิ่งดูสั้นเพราะฉันย่อเข่าแทบตลอดเวลา ในขณะที่ของสามีนี่ทุกรูปราวกับกวางละมั่งดีดเด้ง ขายาวก้าวพุ่งทะยานดูมีพลัง เห็นรูปแล้วตลกตัวเองมาก ถึงจะวิ่งไม่เป็นแต่ฉันก็เอาจนจบได้ทุกงานแหละน่ะ






ทีนี้ คุณคงพอตัดสินจากภาพถ่ายได้สินะ ว่าการซ้อมวิ่งของฉันในช่วงนั้นก็คือซ้อมแบบงูๆ ปลาๆ ไก่ๆ กาๆ ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย ถูกต้องค่ะ! มันถึงวิ่งเหมือนคนขาหนักไงคะ แถมวิ่งได้แป๊บๆ ก็หอบแฮ่กต้องหยุดเดินเหมือนเดิม ไม่รู้จักหรอกวิ่ง easy, tempo, interval คืออะไร pace คืออะไร โซนหัวใจคืออะไร วิ่งลงส้น ลงปลาย คือยังไง Garmin ก็ยังไม่มีใส่ ใช้แต่ Strava ในมือถือ สถานที่ซ้อมของฉันในช่วงนั้นคือ "สวนวชิรเบญจทัศ" หรือสวนรถไฟของชาว กทม. นั่นเอง ฉันเน้นวิ่งช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ค่ะ (เช้าไม่ตื่น) ก็วิ่งๆ เดินๆ มันไปเรื่อยๆ 2 รอบบ้าง 3 รอบบ้าง พยายามให้อาทิตย์นึงได้สัก 3-4 วัน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณ 2 เดือนความทรมานมันค่อยๆ ลดลงค่ะ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองวิ่งไม่เป็นอยู่ดี เสื้อแข่งที่ได้จากงานแข่งต่างๆ ก็ไม่กล้าเอามาใส่ให้ใครเห็นหรอก เพราะกลัวเค้าเห็นท่าวิ่งแล้วจะคิดว่าไปสอยราวตากผ้าบ้านข้างๆ มา
แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงค่ะ เหตุเกิดก็เพราะในงานคลองมะเดื่อเทรล ตอนเดือนเมษายน สามีฉันเกิดกล้ามเนื้อน่องฉีกจนวิ่งไม่จบ ต้อง DNF (Did Not Finish) ทั้งๆ ที่เขาวิ่งมานาน แต่การวิ่งมานานของเขาคือวิ่งอย่างเดียว ไม่เคยยืด ไม่เคยออกำลังกายอย่างอื่น เราเลยเริ่มหันมาหาความรู้กันอย่างจริงจังมากขึ้น ทั้งเรื่องการปรับท่าวิ่งให้ถูกต้อง การฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังการซ้อมหรือแข่ง การออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง ต่างๆ นานา ซึ่งทั้งหมดนี้ฉันอาศัยกูเกิ้ลเอา แล้วก็ไล่ดูไปทั้งยูทูป บทความ งานวิจัยต่างๆ รวมถึงไปติดตามโซเชียลมีเดียของบรรดาโค้ชที่ดูแล้วน่าเชื่อถือ และนักกีฬาดังๆ รวมทั้งไปคลินิกกายภาพบำบัดด้วยนะจ๊ะ แล้วก็พยายามสังเกตตัวเองเวลาวิ่ง ถ่ายคลิปวิดีโอมาดูตัวเองบ้าง พยายามปรับท่าให้มันวิ่งแล้วสบายตัวขึ้น เหนื่อยน้อยลง (good running economy) ฝึกแทงเข่าไปข้างหน้าให้มากขึ้น ค้นหาว่าวิ่งด้วยน่องกับวิ่งด้วยสะโพก (เขียนแล้วนึกถึงไก่ย่างแฮะ) ต่างกันยังไง และเริ่มศึกษาว่าจุดต่างๆ ที่เรามักเจ็บหลังจากการวิ่งมันเกิดจากอะไร ต้องแก้ตรงไหนบ้าง
ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ หาไป กว่าจะรู้สึกว่า เออ...ฉันว่าฉันวิ่งเป็นแล้วว่ะ มานับดู โอ้โห...นี่วิ่งไปแล้ว 250 กิโลเมตรเลยเหรอฟระ!!??
ฉันไม่ได้บอกว่าคุณจะต้องวิ่งให้ถึง 250 กิโลเมตรก่อนถึงจะวิ่งเป็นนะคะ ถ้าคุณสามารถหาโค้ชที่เชี่ยวชาญมาสอน หรือสามารถหาเพื่อนนักวิ่งที่จะแนะนำคุณได้ หรือไปวิ่งกับกลุ่มที่มีนักวิ่งเก่งๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง รวมทั้งใส่ใจที่จะปรับปรุงและพัฒนาการวิ่งของตัวเอง คุณจะไม่ต้องเสียเวลาเหมือนฉันเลยค่ะ แต่ถ้าคุณเน้นฝึกด้วยตัวเองเหมือนฉัน ฉันแค่อยากบอกว่า ไม่ต้องเสียกำลังใจถ้ามันยังวิ่งไม่ค่อยจะได้ เพราะถ้าคุณไม่หยุดซ้อม ไม่หยุดศึกษาพัฒนา ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเองค่ะ
มาถึงตรงนี้ฉันอยากบอกด้วยว่า คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ตัวเองพร้อมถึงจะสมัครงานวิ่งได้นะ สมัครไปเลยค่ะ เพราะการลงแข่งจะทำให้เราได้เห็นคนเก่งๆ ที่มีประสบการณ์ ได้เห็นว่าเขาใช้อุปกรณ์อะไรกัน วอร์มอัพกันยังไง คุยกันเรื่องอะไร มันทำให้เราได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในบรรยากาศของ "วงการวิ่ง" แล้วคุณจะได้ทั้งความรู้และแรงบันดาลใจมากมายที่ช่วยให้คุณอยากพัฒนาตัวเอง
แต่...เลือกงานที่ค่าสมัครถูกๆ หน่อยก็ดีนะถ้าคุณงบไม่แรง หรือถ้าคุณยินดีเปย์ฉันก็ไม่ขัดศรัทธาค่ะ หรือเลือกงานระดับกลางๆ ถึงเล็กๆ ฉันว่ากำลังดี มันจะมีคนที่ยังวิ่งไม่ค่อยเป็นเหมือนกันมาร่วมอยู่บ้าง บางคนอาจจะมือใหม่กว่าคุณไปอีก คุณก็จะได้สนองอีโก้ตัวเองเบาๆ เวลาวิ่งแซงพวกเขา แต่แซงแล้วหันไปดูด้วยนะคะ บางทีเขาอาจจะแก่กว่าคุณ 30 ปีก็ได้! (ฉันเองเคยแซงคุณยายและหลงดีใจมาแล้ว แป่ว)
เอาเป็นว่าสำหรับมือใหม่อยากไปงานวิ่ง ฉันขออนุญาตเสนอแนะแบบนี้นะคะ
เลือกงานที่เส้นทางวิ่งสวยๆ จะเป็นแนวธรรมชาติเช่นงานที่จัดตามอุทธยานแห่งชาติต่างๆ (เช่นตาดหมอกมาราธอน ไม่รู้แหละ ฉันชอบงานนี้) หรือแนวสถาปัตยกรรมดีเด่น เช่นงานวิ่งผ่านเมืองโบราณต่างๆ ก็ดีทั้งนั้น
ถ้ารู้ตัวว่าขี้เบื่อพยายามหลีกเลี่ยงงานที่จัดในสวนสาธารณะ หรือสนามกีฬา หรืออะไรที่คุณจะต้องวิ่งวนๆ ดูวิวเดิมๆ หลายๆ รอบค่ะ มันจะเซ็งเร็ว
หรือไม่ก็เลือกงานที่เสื้อน่ารักๆ (เช่นงาน Crazy Cat Run ไม่รู้แหละ ฉันว่าเสื้อมันคิวท์!)
หรือเลือกงานที่มีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำต่อ (เช่นงาน Run to The Rhythm วิ่งเสร็จเต้นต่อ สนุกมาก! ไว้มาเล่าอีกโพสท์นึงนะ) หรืองานที่มีของแจกเยอะๆ (เช่นงาน Watson Run) จะได้มีแรงจูงใจเพิ่มค่ะ
ที่สำคัญ เลือกระยะวิ่งที่คิดว่าไหวนะคะ ฉันเองเสร่อเลือกแต่ระยะ 10 กิโลขึ้นไปเพราะคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำได้อาจเป็นเพราะฉันเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาลัย ช่วงทำงานก็ยังเข้าฟิตเนสเป็นประจำ แม้จะหยุดไป 7-8 ปีร่างกายก็ยังพอมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนชอบออกกำลังกายมาแต่ไหนแต่ไร ฉันแนะนำว่าลงระยะเบาๆ อย่าง 3 หรือ 5 กิโล จะกำลังดีค่ะ แล้วพอมั่นใจขึ้นก็ค่อยๆ อัพเวลนะคะ
สุดท้ายก่อนจบ อยากเล่าให้ฟังว่าสิ่งหนึ่งที่ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการวิ่งก็คือ กีฬาวิ่งเป็นกีฬาที่ตอแหลไม่เป็นค่ะ มันเป็นกีฬาที่เถรตรงและซื่อสัตย์ นั่นคือ คุณซ้อมเท่าไหร่ มันจะให้คุณเท่านั้น ทุกสิ่งที่คุณใส่ลงไป ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมวิ่ง การทำดริลล์ การยืดเหยียด การยกเวท หรือแม้แต่การพักฟื้น (recovery) เมื่อคุณออกวิ่ง สิ่งเหล่านั้นจะแสดงผลออกมาทั้งหมด
เมื่อคุณซ้อมวิ่ง คุณจะได้รับความอึดทนทาน เมื่อคุณฝึกดริลล์ คุณจะได้กล้ามเนื้อขาที่เคลื่อนไหวถูกต้องโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณยืดเหยียดเพียงพอ คุณจะได้ความสบายตัว เมื่อคุณยกเวทสม่ำเสมอ คุณจะได้ร่างกายที่แข็งแรง พร้อมไปข้างหน้าแบบไม่เมื่อยล้า เมื่อคุณพักฟื้นอย่างถูกต้อง คุณจะได้พลังที่จะออกไปวิ่งอีกครั้งโดยไม่เจ็บ
กีฬาวิ่งไม่มีทางลัด ใช้เงินซื้อไม่ได้ ต่อให้คุณจ้างโค้ชที่เก่งที่สุดในโลกมาสอน หรือสอยรองเท้าซูเปอร์ชูส์รุ่นเดียวกับคิปโชเก้มาใส่ แต่คุณไม่ฝึก ไม่ทำ มันก็ไม่ช่วยอะไรค่ะ คุณต้องซ้อมเอง ต้องทำเองเท่านั้นจ้ะ
เอาล่ะ คิดได้ยังว่าจะไปแข่งงานไหนก่อนดี? อิอิ หรือไม่ก็...วันนี้จะไปวิ่งที่ไหนดีน้า?
Comments